วันจันทร์, พฤศจิกายน 14, 2559

ตรวจสอบอย่างบรรจง เงียบเชียบ






เอาอีกแระ หัวหน้า รปภ. แห่งชาติไตแลนเดีย ไอเดียเจ๋งเรื่องกระบวนการยุติธรรม

“วันนี้ต้องปรับตัวทั้งหมด อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย กลับมาสู่ครรลองของกฎหมายที่ถูกต้อง หากว่าเราปล่อยปละ หากละเลยคนหนึ่งคนใด รักษาความยุติธรรมไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ในที่สุด”

(http://www.matichon.co.th/news/356937)

ตามนั้นเลย เวลานี้ถึงที่สุดแล้วยังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ไม่ใช่แค่จงใจปล่อยละ หากแต่ตั้งใจละเลย “คนหนึ่งคนใด” ที่ชื่อพล.อ.ปรีชา กับคุณแม่ผ่องพรรณ ทั้งคู่นามสกุล จันทร์โอชา

คนแรกเป็นน้องชายหัวหน้าคณะทหารที่ทำการรัฐประหารเมื่อสองปีกว่ามาแล้ว เดี๋ยวนี้มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเต็ม จะทำอะไรก็ได้ถ้าใช้มาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่บัญญัติกันขึ้นเองหลังยึดอำนาจ

ปริ่มๆ จะได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ข้ามหน้าข้ามตา ข้ามหัวรุ่นพี่ๆ แต่บังเอิญมีความจำเป็นจะต้องรักษาน้ำใจในหมู่พี่ๆ น้องๆ ทหารหาญ ที่ล้วนแล้วแต่ฝีมือแม่นยำลูกพัตต์ ลูกชิพท์ พอๆ กัน บางท่านหนักแน่นตอนไดร๊ว์

น้องปรีชาเลยได้ไปเกษียณตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ควบหน้าที่ (และเงินเดือน) สมาชิกสภา (ทหาร) นิติบัญญัติแห่งชาติ ล่าสุดได้รับพระมหากรุณาธิคุณบรรจุอยู่ในหมู่ทหารรักษาพระองค์ รัชกาลที่ ๑๐ ด้วย

คนหลังเป็นภรรยาของคนแรก ไม่ได้มีอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ไปไหนมาไหนมีทหารและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองติดตามเป็นโขยง คอยประคบประหงม กางร่ม จูงมือ จัดที่นั่งให้ดูเด่นเป็นสง่าสูงกว่าคนอื่น และ

ประการสำคัญมีความสามารถสูงในการขับเคลื่อนเงินเข้าออกบัญชีธนาคาร ทั้งของตนเองและที่ร่วมกับสามี ทั้งสิ้น ๑๐ บัญชี เป็นจำนวนหมุนเวียนในส่วนของตนหลายสิบล้านบาท โดยเฉพาะหลังจากการรัฐประหารของพี่ผัว เงินในบัญชีงอกทันที ๑๒ ล้าน

จนท้ายที่สุดเมื่อมีคนร้องเรียนให้คณะกรรมการปราบทุจริตแห่งชาติตรวจสอบ ยอดเงินอยู่ที่ ๕๘ ล้านบาท





แต่เพราะความที่ทั้งคู่เป็น ‘คนดี’ ปปช. เลยตรวจสอบอย่างบรรจง ค่อยเป็นค่อยไป และอย่างเงียบเชียบ ชนิดสำนักข่าวอิศราพยายามจี้ขอข้อวินิจฉัย ก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจ ไม่เหลียวมอง อยู่เป็นเวลาแรมปี

ผลปรากฏว่า “คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ว่า พล.อ.ปรีชา ‘ไม่จงใจ’ ยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จากกรณีการกรอกข้อมูลเงินฝากของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยา ไม่ครบ และมีการใส่บัญชีเงินฝากของกองทัพภาคที่ 3 แจ้งในบัญชีทรัพย์สินตัวเองด้วย”

(http://www.isranews.org/…/investi…/item/51642-pongpunll.html)






ซึ่ง ปปช. เห็นว่าอาจเป็นไปได้ดังคำอ้างของ พล.อ.ปรีชา ที่ว่า ‘หลงลืม’ ฉะนั้น “จึงถือว่าได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินถูกต้องแล้ว” ดังนี้

เจ้าพนักงานตรวจสอบฯ ใช้เวลา ๒ วัน ตรวจพบว่าการแจ้งยอดเงินฝากของ พล.อ.ปรีชาผิดพลาดตกหล่นไปเพียง ๔ แสนกว่าๆ โดยที่ตัวเลขจริงคือ ๔๒,๔๒๓,๕๘๗ บาท

สำหรับของขุ่นแม่งผ่องพรรณ แจ้งผิดไป ๑๒ ล้าน ที่จริงต้องเป็นเงินฝาก ๕๘,๒๙๕,๒๙๗ บาท รวมสองคนมีเงินฝากแท้จริง ๑๓๙ ล้านครึ่งกว่าๆ

ครั้นเมื่อมีการตั้งคำถามเรื่องนางผ่องพรรณ ภรรยาพล.อ.ปรีชา แจ้งว่าไม่มีรายได้อะไร และไม่ได้ประกอบธุรกิจใดๆ ไฉนมีเงินฝากหมุนเวียนอยู่ในบัญชีธนาคาร ๕ แห่งถึง ๕๘ ล้านกว่าบาท

นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวสั้น ๆ ว่า “เรื่องนี้จบไปแล้ว ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วไม่พบอะไรผิดปกติ และตอนนี้ก็ยังไม่มีใครตั้งข้อสงสัยใด ๆ เพิ่มเติม”

ทั่นรองฯ ตอบอย่างนี้ขอไปทีหรือไร ในเมื่อการที่สื่อซักถามนั่นถือได้ว่า “มีใครตั้งข้อสงสัย” เพิ่มเติมแล้ว

แต่เพราะนี่เป็นคดีของน้องหัวหน้ารัฐบาลผู้มีอำนาจเต็มในบ้านเมือง จึงต้องทำนิ่งต่างหาก

ในเมื่อ ‘หัวไม่กระดก หางก็ไม่กระดิก’ ใช่ไหมล่ะ