วันอังคาร, พฤศจิกายน 15, 2559

ข่าวที่อาจกระทบความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ... “เบสท์ -อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดขวัญใจชาวไทย(?) ไม่ได้วีซ่าไปสหรัฐ ทำให้ต้องยกเลิกการพูดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใน ๔ เมืองใหญ่”





อ่า วันนี้ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจมีใครทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ชวนกันไปแถวถนนวิทยุ เป่านกหวีดปิดสถานทูตก็ได้นะ

ถ้าหากบุรุษผมเกรียนนุ่งห่มผ้าย้อมฝาดได้รับสัญญานจากใครไม่รู้ที่ชอบขายป็อปคอร์น

ข่าวไทยรัฐออนไลน์ ๑๕ พ.ย. ๒๕๕๙ เล่าว่า “เบสท์ -อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดขวัญใจชาวไทย ผิดหวังหลังสถานทูตสหรัฐฯ ในไทยปฏิเสธให้วีซ่า ทำให้ต้องยกเลิกการพูดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ชาวไทยและชาวอเมริกันฟังใน ๔ เมืองใหญ่”

ติดใจตรงที่เห็น Pimonjung Pisetsakull เอาโพสต์ของ Boonmark Raksansakul มา shared และคอมเม้นต์ว่า

“เดี๋ยวนะ....เดี๋ยวก่อน...เอิ่มมมม...ขวัญใจชาวไทย??? มึงเป็นขวัญใจกูตอนไหนเหรอ? ทำไมกูถึงไม่รู้จักมึงหว่า?? รู้จักแต่ เขาทราย สมรักษ์ บัวขาว...”

เราก็เลยเอิ่มมมม ด้วย เพราะไม่รู้จักเธอเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เช่นเดียวกับการ ‘ผิดหวัง’ ที่ไม่ได้พูดเรื่อง “พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่นครลอสแอนเจลิสวันที่ ๓ ธ.ค. และที่เมืองบอสตัน วันที่ ๕ ธ.ค.นี้”

(http://www.thairath.co.th/content/783372)

เพราะเรื่องที่ไม่ได้พูดนั้นมีแพร่หลายไปทั่ว รวมทั้งออนไลน์ ที่ใครอยากรู้อยากเห็น (อ่าน) ก็ไปใช้บริการอากู๋เกิ้ลได้ทุกเมื่อที่ปลายนิ้ว

หรือมิฉะนั้นก็ให้สถานกงสุลจัดการส่งใครสักคนในสำนักงานไปพูดก็ได้ ถ้าคิดว่าตัวกงสุลใหญ่พูดเองเสียงเซ็กซี่ไม่พอ

จะให้ดีก็ให้คนจัดงานที่ไทยรัฐระบุชื่อว่าเป็นกรรมการประสานงานด้านสถานที่ (นายนภดล วงศ์ชัยวัฒน์) เป็นผู้พูดเหมาะที่สุด เพราะเป็นผู้รู้ลึกว่า “คนไทยในสหรัฐฯ อยากฟังกันมาก” จะได้คัดสรรเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการผู้ฟัง เนื่องแต่พระราชกรณีกิจของพระองค์ท่านในโกศนั้นมีมากมายล้นหลาม ไม่สามารถจะบรรยายอย่างละเอียดในการแสดงวันเดียวได้

ตานี้มาดูที่ปัญหา มันอยู่ที่ข่าวไทยรัฐไม่ได้ให้เนื้อข่าวที่ครบถ้วนกระบวนความ ว่าสาเหตุที่สถานกงสุลไม่ยอมออกวีซ่าให้คุณสุภาพสตรีที่เป็น “นักพูดขวัญใจชาวไทย” มันเรื่องอะไรกัน

และก็จริงอย่างที่ Noppakow Kongsuwan เขาวิจารณ์ไว้ทางโซเชียลน่ะ “คือบางทีสื่อแม่งพาดหัวแบบนี้ มันไม่เคลียร์ และสร้างความแตกแยกนะ”

เขาสันนิษฐานว่า “ที่ทางสหรัฐฯไม่ออกวีซ่าให้ คงไม่ใช่เพราะจะไปพูดเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ หรอก

น่าจะมาจากสาเหตุอื่น เช่นเอกสารถูกต้องและครบหรือไม่? ข้อระเบียบกติกาต่างๆ คุณยื่นถูกต้องหรือไม่? คงจะเป็นประเด็นนี้มากกว่า”

แล้วยังตั้งข้อกังวลไว้ด้วยว่า “มันจะกลายเป็นการสร้างความแตกแยก และปลุกระดมให้ ‘กลุ่มคนคลั่ง’ หรือพวกที่อ่านเฉพาะพาดหัวแบบไม่ได้ใช้วิจารณญาณ รุมเข้าไปด่าสหรัฐอเมริกา และเบี่ยงเบนประเด็นไป จนบานปลายกันไปใหญ่”

ส่วน Vara Paribatra ที่ shared Noppakow Kongsuwan's post. ก็มีความเห็นด้วยเช่นกัน “แม่คนนี้คงให้ข้อมูลเท็จในการขอวีซ่า เขาตรวจเจอก็ถูกปฏิเสธ ไปขอใหม่คราวหน้า เขาก็ต้องถามว่าเคยถูกปฏิเสธการให้วีซ่าหรือไม่ เพราะเหตุใด มันก็ต้องตอบตามความจริง ไปให้ข้อมูลเท็จซ้ำสองอีก ก็จบแล้ว เป็นนักพูดเพ้อเจ้อได้แต่ในกะลาแลนด์ #ดิฉันคนหนึ่งแหละที่ไม่ฟัง

จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ มันต้องเข้าข่ายไม่สอดคล้องกับระเบียบการได้วีซ่าอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน การเสนอความจริงไม่หมดของสื่อไทยนี่แหละทำให้เกิดปัญหา บ้านเมืองเกือบถึงมิคสัญญีมาแล้วหลายหน

ยิ่งทำเนียบขาวรุ่นใหม่ที่จะเป็นในสมัยประธานาธิบดี ดอแนลด์ ทรั้มพ์ ในอีกไม่ถึงสามเดือนข้างหน้า มีที่ปรึกษาทางยุธศาสตร์ ตำแหน่งเทียบเท่าและ ‘เข้าคู่’ กับหัวหน้าคณะผู้ช่วยประธานาธิบดี ‘Chief of Staff’





นายสตีฟ แบนน่อน มีภูมิหลังเป็นพวก “white nationalist, anti-Semite and alt-right advocates” รังเกียจชนต่างผิว ต่อต้านยิว และเป็นหัวโจกของกลุ่มขวาจัดยุคใหม่ ที่เรียกตัวเองว่า Alt-Right ‘อนุรักษ์นิยมทางเลือก’

นายแบนน่อนเป็นผู้บงการของข่ายงาน ‘บรีตบาร์ทนิวส์’ ที่รณรงค์สนับสนุนทรั้มพ์ กีดกันชนต่างด้าวอพยพ ต่อต้านชาวมุสลิม ซึ่งร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกลุ่ม ‘อั้ลท์-ไร้ท์’ ที่เชิดชูแนวความคิดเรื่องคนผิวขาวเหนือกว่าชนเชื้อชาติอื่นๆ

(ดูบทความของฟอร์บเกี่ยวกับสตีฟ แบนน่อน บรี้ตบาร์ท และขบวนการรังเกียจต่างด้าว หยามสตรี ที่ชมเชยกับการที่มีพวกเชิดชูธงของฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองอเมริกันบุกเข้าไปยิงกราดในโบสถ์ชนผิวดำในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซ้าท์แคโรไลน่า เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว http://www.forbes.com/…/steve-bannon-and-breitbart-news-w…/…)

ผู้ใช้นาม นพเก้า คงสุวรรณ คงจะมีความกังวลว่าการเสนอข่าวในเชิงตำหนิสถานทูตอเมริกันไม่ออกวีซ่านักพูดหญิงของไทยคนหนึ่งเดินทางไปเล่าเรื่องพระราชกรณียกิจของในหลวงในโกศ โดยไม่ให้เหตุผลแท้จริง จะกลายเป็นการตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับสหรัฐอเมริกาในยุคดอแนลด์ ทรั้มพ์ ที่รังเกียจต่างด้าวอยู่แล้ว โดยใช่ที่

หวังแต่ว่าจะเป็นเพียงความเงิบเขลาของบรรดาพวกคลั่งไคล้ลัทธิราชาชาตินิยมเท่านั้น ดังถ้อยประโยคสัพยอกของนพเก้าที่ว่า

“เดี๋ยวแม่งก็...โพสต์ Facebook แบนสหรัฐฯ บน Iphone ที่ร้าน Starbuck อีก...”