วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 17, 2559

คสช. ‘๓ ชัย’ ไล่จิกกันในเล้า





เอาละสิ ถึงคราวที่ห่าน คสช. ‘๓ ชัย’ ไล่จิกกันนัวเนียในเล้า อาจไม่ชุลมุนเท่า ‘ไก่จิกกันในเข่ง’ ทว่าหนักหน่วงรุนแรงเชียวละ (หมายเหตุ ที่ว่าเป็น ‘ห่าน’ เพราะแต่ละตนตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น)

รายการ กกต. ฟัดกับ กรธ. เริ่มเปรอะของเหม็น เมื่อมี สปท. โดดเข้ามาผสมโรง

ไล่เรียงเรื่องราวย้อนจากปลายเหตุไปหาต้นสาย จากการที่ วันชัย สอนศิริ สปท. ออกมาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันให้แก่ กรธ. จวกแรงกว่าว่า สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ไม่ “สงบเสงี่ยมเจียมปากเจียมคำ” บังอาจก้าวล้ำค้านการกำหนดคุณสมบัติองค์กรอิสระใหม่โดยกรรมการร่าง รธน. ว่าเป็นเรื่องฟุ้งซ่าน

“นายสมชัยในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ กรธ.และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)...

กกต.คนอื่นเขาสงบเสงี่ยมเจียมปากเจียมคำ ยิ่งพูดยิ่งโวยวายก็ยิ่งเข้าตัว ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นมากกว่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเหมือนกล่องเลือกตั้งที่โยนแล้วแตกเสียของไปเปล่า”

(http://www.matichon.co.th/news/361932)

ก็เลยถูกสมชัยจิกกลับเข้าให้ ไม่ร้ายไม่แรงกว่า แต่ว่าเจ็บชนิดขนร่วงเหมือนกัน โดยเฉพาะข้อสอง

“เรื่องนี้ความจริงก็ไม่เกี่ยวกับนายวันชัยเท่าไร แต่คงเพราะนายวันชัยมีพฤติกรรมเช่นปลาในบ่อ ‘สปาปลา’ ที่เห็นอะไรก็อยากตอดไปเรื่อย เรื่องไหนเป็นข่าวกระแสสังคมพูดถึง ก็จะเกาะกระแสข่าววิจารณ์เพื่อให้ตัวเองมีพื้นที่ในสื่อ

เวลาหมดวาระการดำรงตำแหน่งจะได้เกี่ยวตัวเองเข้าไปกับตำแหน่งการเมืองที่มาการแต่งตั้งอยู่เรื่อยๆ เข้าใจได้ครับ”

และที่นายสมชัยโต้กลับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ก็ไม่เบาเหมือนกัน “ผมอาจทำให้ต้องวงแตกกันนิดนึง เช่น เราเสนอมาให้มีกกต.จังหวัดเหมือนเดิม แต่กรธ.เขียนกลับไม่มี แล้วมีผู้ตรวจการเลือกตั้งขึ้นมาแทน ซึ่งผมว่ามันเป็นกลไกที่ใช้ไม่ได้

กรธ.ควรเขียนกฎหมายแล้วเปิดให้เราได้วิจารณ์กัน...อยากให้สังคมไทยใช้ความจริงมาคุยต่อหน้ากัน ไม่ใช่เกิดมานานกว่า ร่างกฎหมายมาหลายฉบับกว่า แล้วหมายความว่าต้องเก่งกว่า”

(http://www.matichon.co.th/news/362230)





ที่รัฐสภาเมื่อวานนี้ (๑๖ พ.ย.) ตอนบ่าย มีการสัมมนารับฟังความเห็นเรื่องร่าง พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญ นายมีชัยพูดแก้ตัวถึงกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติของกกต. ว่า

“คณะกรรมการ กรธ.ได้คัดลอกมาจากเนื้อหาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ แต่กลับมีคนเข้าใจผิดคิดว่า กรธ.เขียนต่างไปจากกฎหมายแม่เพื่อต้องการกลั่นแกล้งกัน...

ยืนยันว่าข้อกำหนดที่ใช้กับกกต. ก็จะนำไปใช้กับองค์กรอิสระอื่น รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วย แต่ก็ต้องขึ้นกับรายละเอียดที่แตกต่างกัน

มันจึงอาจเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะกฎหมายกกต.เกี่ยวกับการเลือกตั้งจึงต้องออกมาก่อน กรธ.ทำงานกันอย่างหนัก ไม่มีเวลาว่างคิดฟุ้งซ่าน”

ทางด้านนายนรชิต สิงหเสนี โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ออกมายืนยันเรื่องเอาคนนอกมาเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง เพราะความไม่เป็นกลางของ กกต.จังหวัด

ว่า “อยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมือง นักการเมือง ผู้ที่มีอิทธิพลในจังหวัด รับเงินเดือนประจำ มีสำนักงานถาวร มีค่าใช้จ่ายมากมายแต่ปฏิบัติหน้าที่เพียง ๔ ปีต่อครั้งในช่วงมีเลือกตั้ง...

เรื่องแบบนี้ ไม่ต้องเป็นนักฟิสิกส์ น่าจะคำนวณได้ว่าน่าจะประหยัดกว่า”

(http://www.matichon.co.th/news/361779)





ขณะที่โฆษก กรธ. อ้างเรื่องสิ้นเปลืองเงินทอง กกต. ฝ่ายบริหารก็ไม่ลดละ ยกเอาเรื่อง ‘ความต่อเนื่อง’ มางัดไม้ซุง

“ในเวลานี้เรากำลังจะเปิดศักราชทางการเมืองใหม่ การทำงานหลายอย่างต้องการทำงานต่อเนื่อง ต้องการคนเก่าที่รู้ปัญหา ผมไม่เชื่อว่าการเอาคนมาใหม่ทั้งหมดจะตอบโจทย์ได้มากกว่า”

ถึงจะซัดกันนัวแบบนี้ อย่าได้หวังว่าจะมีการปรับเปลี่ยนตามผลของการอภิปราย เสียงของ กรธ. คู่บารมีคณะทหารย่อมดังกว่าเสมอเมื่อทหารเป็นผู้ครองเมือง กฎหมายลูกไม่ได้ต่างอะไรกับกฎหมายแม่ เป็นแค่เครื่องมือกระชับอำนาจที่มาจากปากกระบอกปืนเท่านั้น

ส่วนพวกห่านได้แต่โหวกเหวกโวยวายไปตามเพลง ตราบเท่าที่ยังไม่ได้กลายเป็นพะโล้ยาดอง