วันพุธ, พฤศจิกายน 02, 2559

เรื่องนี้อาจจะเฉียด ๑๑๒ แต่ก็ต้องแตะ เพราะไทย ‘เฉย’ ปล่อยให้พวกมิจฉาทิฏฐิโกหกบิดเบือนสร้างความมัวหมองให้กับสถาบันฯ มาเนิ่นนานเกินไป





เรื่องนี้อาจจะเฉียด ๑๑๒ แต่ก็ต้องแตะ เพราะไทย ‘เฉย’ ปล่อยให้พวกมิจฉาทิฏฐิโกหกบิดเบือนสร้างความมัวหมองให้กับสถาบันฯ มาเนิ่นนานเกินไป

น่าที่จะช่วยกันทำให้การเปลี่ยนรัชกาลที่จะมาถึงในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้า เป็นต้นแบบแห่งศตวรรษที่ ๒๑ เฉกเช่นรัชกาลที่ ๙ เป็นพ่อแบบของศตวรรษที่ ๒๐ ด้วยการยึดหลัก ‘เสรีภาพ’ แห่งการยืนยันความเป็นจริงทุกครั้งที่มีการละเมิดเกิดขึ้น

แม้กระทั่งบางสิ่งที่คาบเกี่ยว สองแง่สองง่าม ระหว่าง อำนาจ กับ มารยาท เช่นการเอาหนังผลงานรัฐบาล คสช. ไปฉายที่สนามหลวง เพราะมีว่าที่ผู้ชมล้นหลาม แต่พวกเขาไปที่นั่นไม่ใช่ว่าอยากชมผลงานรัฐบาลบิ๊กตูบ





ขอยกตัวอย่างการ ‘ไม่’ ปล่อยให้ความจริงถูกบิดเบือนและความเท็จได้ลอยชาย (เพราะหลายคนคิดว่า ‘ธุระไม่ใช่’ นิ่งไว้ไม่เปลืองตัว) ในโลกสากลแห่งศตวรรษที่ ๒๑ กรณีหนึ่ง

เมื่อวันเสาร์ (๒๙ ต.ค.) หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยน โดย โอลิเวอร์ โฮมส์ เขียนข่าวเรื่อง “ประเทศไทยปราบปรามการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปถึงต่างประเทศ” (https://www.theguardian.com/…/thailand-bhumibol-monarchy-in…)

แต่ปรากฏว่าในเนื้อหาหลายประการผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ทำให้ Andrew MacGregor Marshall สื่อมวลชนอิสระออกมาท้วง ๓ ข้อ

ข้อแรกแอนดรูว์ชี้ว่าบทความการ์เดี้ยนไม่ได้อธิบายให้กระจ่างว่า ไม่มีทางที่ประเทศไหนจะส่งตัวผู้ต้องหา ‘เลส มาเจสตี’ กลับไปให้ประเทศไทย เพราะประเทศเหล่านั้นไม่ได้มีกฏหมายหมิ่นฯ อย่างไทย และได้มอบสถานะผู้ลี้ภัยแก่ผุ้ต้องหาเหล่านั้นแล้วจะต้องปกป้อง ไม่ใช่เอาไปดำเนินคดีอย่างอาชญากร

“เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศเองก็ยอมรับอย่างขอให้ไม่เป็นทางการว่า โอกาสที่คำร้องขอจะได้รับการตอบสนองเท่ากับศูนย์”

ข้อสองเกี่ยวกับที่บอกว่ารัฐบาลกัมพูชาตกลงจะส่งผู้ต้องหาสามคนให้ไทย ก็เป็นการให้ข้อมูลบิดเบือนเพราะเจ้าหน้าที่เขมรเองได้ระบุว่ากัมพูชาไม่มีกฏหมายหมิ่นฯ การดำเนินการตามคำร้องของไทยเป็นเรื่องยากที่จะทำได้

ข้อสามประเด็นที่ว่ากูเกิ้ลตกลงจะช่วยไทยปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ก็ผิดพลาด ในเมื่อ แอน แลวิน ผู้อำนวยการกูเกิ้ลสิงคโปร์ได้แจ้งแก่ คสช. เมื่อถูกเรียกตัวไปขอร้องว่า กูเกิ้ลทำได้เพียงดำเนินการตามนโยบายที่มีอยู่ แต่ปรากฏว่ารองนายกฯ ปราจิณ จั่นตอง กลับให้ข่าวอย่างโป้ปด

การออกมาใช้ความจริงตอบโต้การโกหกเช่นนั้นอาจจะทำให้ทหารรัฐมนตรีของรัฐบาล คสช. หน้าแตก แต่ก็ได้ช่วยปกปักรักษาศักดิ์ศรีของรัฐบาลต่างประเทศที่ให้สถานะผู้ลี้ภัย และบริษัทกูเกิ้ลซึ่งดำเนินการโดยยึดหลักเสรีภาพแห่งการแสดงความคิดเห็น จากความชั่วช้าของการบิดเบือน

ถึงเวลาที่ประเทศไทยในศตวรรษที่ ๒๑ จักต้องหันมายึดถือมาตรฐานอันถูกต้องและเป็นที่ยกย่องของนานาประเทศอารยะทั่วโลกบ้างเสียที





อันเนื่องมาแต่โพสต์ของนายเทพมนตรี ลิมปพยอม ถึง ‘หมุดคณะราษฎร’ ว่า “ประกาศหาเจ้าของ ถ้าไม่มาขุดเอาไปภายในวันที่ ๓๐ ธ.ค. ๒๕๕๙ ผมกับเพื่อนๆ ถือว่าไม่มีเจ้าของ

จะไปเอาออกหรือทำให้หมดสภาพเอง ถ้ายังอยากเก็บรักษาไว้ รีบขุดออกไปเสียให้พ้น”

(http://prachatai.com/journal/2016/11/68621)

ทันใด นักประวัติศาสตร์ที่แม่นกว่า (ในด้านความซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง) โดยเฉพาะประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ Somsak Jeamteerasakul ออกมาโต้

“โดยส่วนตัว ผมว่า Thepmontri Limpaphayorm เพียงแค่ต้องการทำ ‘สตั๊น’ (ยุคสมัยนี้ชอบทำกันเยอะ อย่างที่ผมเคยพูดว่า กรณีทำคลิปของ ‘อั้ม เนโกะ’ ของอีกฝ่าย ก็เป็น ‘สตั๊น’ อย่างหนึ่ง) คืออะไรที่ทำแล้วทำให้เกิดความฮือฮา ได้ชื่อเสียง โดยที่ตัวการกระทำนั้น ‘กลวงเปล่า’ ไม่มีสาระอะไร”

ในเมื่อ “สิ่งของที่ระลึก เช่น หมุดคณะราษฎร หรืออนุสาวรีย์ (ประชาธิปไตย, ชัยสมรภูมิ ฯลฯ) ยังไงก็เป็นแค่สิ่งของ รื้อทิ้งก็ไม่สามารถรื้อทิ้งการกระทำที่แวดล้อมสิ่งของนั้นที่เกิดไปแล้ว และมีผลลูกโซ่ต่อเนื่องกันมาได้”

มิหนำซ้ำ “หมุดคณะราษฎร ทำขึ้นจากมติของหน่วยราชการสมัยนั้น และฝังอยู่ในถนน ถือเป็นสมบัติราชการ การทำลายสมบัติราชการมีโทษทางกฎหมายอยู่”

แต่กระนั้น “ความจริง ถ้ารื้อสิ่งของทิ้ง แล้วสามารถรื้อการกระทำและผลของการกระทำที่แวดล้อมสิ่งของนั้นได้ คงน่าสนใจพิลึก” (เหมือนหนัง 'sci-fi' นิยายวิทยาศาสตร์)

ด้วยว่านั่นจะเป็นการทำให้ “ทุกอย่างในปัจจุบันเปลี่ยนไปหมด และทุกคนในประเทศไทยตอนนี้พบว่าพระองค์เจ้าอานันท์-ภูมิพล ไม่เคยเป็นกษัตริย์เลย”




สศจ.นำแผนภาพที่เขาใช้สอนวิชาประวัติศาสตร์การเมืองไทย เกี่ยวกับการสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ไทยนับแต่รัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา มาแสดงพร้อมอธิบายว่า

“ถ้าไม่มีคณะราษฎร รัชกาลที่ ๘ ก็แน่นอนว่าจะเป็นตระกูลบริพัตร เพราะรัชกาลที่ ๗ ไม่มีลูก และกรมพระนครสวรรค์เป็นรัชทายาทในทางเป็นจริงของรัชกาลที่ ๗ โดยตลอด...

กรมพระนครสวรรค์สิ้นพระชนม์ปี ๒๔๘๗ หลังพระปกเกล้า ๓ ปี กรมพระนครสวรรค์ยังมีลูกชายจากชายาหลัก คือพระองค์เจ้าจุมภฏ (ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เกือบจะได้เป็นกษัตริย์แทนในหลวงภูมิพลด้วยซ้ำแม้แต่หลัง ๒๔๗๕ แล้ว คือในทศวรรษ ๒๔๙๐ เมื่อความเกี่ยวข้องของในหลวงภูมิพลกับการสวรรคตของพระเชษฐา เป็นที่พูดถึงกันหนักขึ้นๆ...

และยังมีลูกชายจากชายารองอีก (พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ พ่อของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เพิ่งสิ้นพระชนม์ ๒๕๔๖ แน่นอนคุณสุขุมพันธ์ยังมีชีวิตอยู่)...

สศจ. ยังอ้างถึง "ข้อเท็จจริงพื้นๆ อีกอย่าง" ว่าการเสด็จขึ้นครองราชย์ของทั้งรัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ ได้รับการเลือกเป็นกษัตริย์โดยรัฐสภาของคณะราษฎร

"เลือกจริงๆ ไม่ใช่แค่รับทราบ รัชกาลที่ ๘ เลือกโดยเสียงไม่เอกฉันท์ด้วย”

(https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/1127606333959311)

จึงเห็นชัดว่าการโพสต์ข้อความกระแซะ ‘หมุดคณะราษฎร’ อย่างพล่อยๆ ของเทพมนตรี เป็นเพียงเสริมกระแส ‘ล่าแม่มด’ ของพวก ‘เห็บโหนเจ้า’ ที่รังแต่จะทำให้ราชวงศ์แปดเปื้อนไปกับอาจมที่ถ่มถุยกันออกมาโดยไม่ดูที่ทางของคนเหล่านั้น