วันเสาร์, ตุลาคม 01, 2559

ประเทศอื่นก้าวไกลไปมากแล้ว แต่ประเทศเรายังทิงนองนอย ไม่ยอมไปไหน พราะพวกบิ๊กๆ ยำกันมาสิบปีไม่พอ ริ (อ่าน) จะยำต่ออีกยี่สิบปี





ถึงวันที่อีกหนึ่งในสาม ป.ของมังกรสามหัว (troika) คสช. ‘ป็อก’ จ้อบ้าง ตามอย่างพี่ๆ น้องๆ เรื่อง ‘Rule by Law’

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับการบูรณาการเพื่อยกมาตรฐานชีวิต แต่วกเข้าไปเหน็บ ‘การเมือง’ ประชาธิปไตยเพื่อให้เผด็จการดูดีเสียหน่อย

“ภายใต้การเมืองไทยมีระบบพรรคพวก หัวคะแนน มันทำให้ประเทศไม่เจริญ เรื่องนี้จะมาเถียงผมไม่ได้หรอก มันแตกแยกมาพอแล้ว ต่อจากนี้ก็ขอให้ยุติที่กฎหมาย เพราะไม่มีทางแก้อื่นนอกจากจบที่กฎหมาย”

(http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/720420)

ใช่สิ กฎหมาย ม. ๔๔ กฎหมายที่เป็นคำสั่ง คสช. นับร้อยๆ ฉบับ กฎหมายที่มาจาก ‘คำถามพ่วง’ ให้ คสช.แต่งตั้งสภาสูงฝ่ายนิติบัญญัติจำนวนครึ่งหนึ่งของสภาที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจสำคัญร่วมเลือกตัวนายกฯ จากคนนอกที่ไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

ส่วนที่พูดกระทบพวกคนที่ตนไปแย่งอำนาจเขามา บลา บลา บลา ประชานิยมสู้ประชารัฐไม่ได้ และประเทศไทย ๔.๐ กำลังจะไปโลด เหมือนดังพ่อรูปหล่อน้องรัก ป.ประยุทธ์ บ้วนว่า จีดีพีเพิ่มทุกวัน อีกปีเดียวได้เรื่อง

นั่นก็รอพิสูจน์มาแล้วสองปีกว่า มองไม่เห็นอะไรที่ปลายอุโมงก์ ตอนนี้มีแต่น้ำรอระบายทั่วประเทศ





ไอ้การใช้กฎหมาย “เอาไว้บังคับคนอื่น ไม่บังคับกับพวกตัวเอง” หรือ ‘Rule by Law’ อย่างที่อดีต สว. สายหลิ่ม รสนา โตสิตระกูล ว่าไว้น่ะ เห็นจะจะอีกรายวานนี้เอง





แชร์กันลั่นถึงหูลุงตูบ ข้อความทางไลน์ “ผมไม่ได้สร้างความชั่วอะไรให้มีมลทินมัวหมองแก่ชีวิตราชการแต่อย่างใด”

แต่อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ถูกคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามอำนาจ ม. ๔๔ ให้ออกจากราชการก่อนกำหนด จน “ครอบครัววงศ์ตระกูลของผมขมขื่นมากมาเป็นเวลา ๖ เดือนแล้วครับ”

เขาจะจำโคลงศรีปราชญ์ “เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนั้นคืนสนอง” ไปจนวันตาย หรือตราบเท่าที่ “กฎหมายคือกฎหมาย” แบบ คสช. “ไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้ามีการเสนอขึ้นมา”

(http://www.isranews.org/…/it…/50465-%E0%B8%B7news_50465.html)





การอ้างกฎหมายตะบี้ตะบัน ในเมื่อกฎหมายไทยเวลาจะใช้บังคับต้องตีความเกือบทั้งนั้น แล้ววิจารณญานการตีความมันอยู่ที่ตัวผู้บังคับใช้นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครองหรือตุลาการ ล้วนกระทำด้วยโลกทรรศน์ไม่กว้างไปจนถึงแคบๆ เสียบ่อย

แคบตรงที่เอาเฉพาะ ‘คนดี’ ซึ่งไม่อยู่ในหมู่ ‘การเมือง’ ดังปรากฏรายชื่อ ตระกูล เครือข่ายที่คณะทหาร ‘ทรอยก้า’ ยึดอำนาจ แย่งบารมีถึงสองครั้งสองครานั่นละ

คนอื่นๆ ไม่เป็นไร ใช้ ‘ชั่งมัน’ เอา แล้วก็ใครอย่า ‘เผือก’ เหมือนอย่างนักโทษที่สื่อน้ำลดไม่ยอมใช้สรรพนาม นช. นำหน้า “ยังเล่าถึงชีวิตภายในเรือนจำว่า...เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ดูแลอย่างดี”

(http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=115183&t=news)





เสร็จแล้วเป็นไง “ในขณะที่ประเทศอื่นก้าวไกลไปมากแล้ว แต่เรายังทิงนองนอย ไม่ยอมไปไหน” ไม่ใช่เพราะการเมืองวุ่นวายอย่างที่พี่ป็อกร่ายยาวบ้างหรอก แต่เพราะพวกบิ๊กๆ ยำกันมาสิบปีไม่พอ ริ (อ่าน) จะยำต่ออีกยี่สิบปีนั่นแหละ

อดไม่ได้ต้องยกข้อความของพวกคนดีตกสวรรค์ (เพราะอัศวินม้าขาวกลายเป็นลิงขี่เสือ) เรื่อง ‘ผลประโยชน์ทับซ้อนคือต้นทางของการคอร์รัปชัน’ มาอ้าง

ที่ว่า “จำได้ไหม ลุงๆ ยังจำได้ไหม ที่เคยเคร่งครัดออกระเบียบไม่ให้เอาลูกหลานญาติพี่น้องที่มีนามสกุลเดียวกันมาเป็นผู้ปฏิบัติงาน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ที่ปรึกษาประจำตัวของบรรดา สนช.และ สปช.รวมทั้งในชั้นกรรมาธิการด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน”

“ฟังนักกฎหมายระดับเนติบริกรอธิบายเรื่องบ้านพักข้าราชการไปเทียบกับบ้านเช่า ว่าไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการนำไปจดทะเบียนบริษัทแล้ว ทำให้เข้าใจความหมายของ Rule by Law ชัดเจนขึ้น”

“ความแตกต่างระหว่าง Rule by Law กับ Rule of Law

Rule by Law คือ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ เอาไว้บังคับคนอื่น ไม่บังคับกับพวกตัวเอง

Rule of Law คือ หลักนิติธรรมที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน”

นั่นคือวิถีประชาธิปไตย ถูกต้องด้วยหลักการ ไม่ว่าจะพูดโดยพันธุ์แท้พันธุ์ทางของข้างไหน ก็ควรรับฟังด้วยความยินดี มิใช่หรือ