วันอังคาร, ตุลาคม 25, 2559

ราคาข้าวและชาวนา กับเสียงที่ไม่มีคนได้ยิน





ราคาข้าวและชาวนา กับเสียงที่ไม่มีคนได้ยิน

Sun, 2016-10-23 21:15

มัจฉา พรอินทร์
ที่มา ประชาไท

หลายวันที่ผ่านมา ฉันเห็นข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับหนังสือคำสั่งทางปกครองเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าเสียหายในคดีจำนำข้าว จำนวน 35,000 ล้านบาท ของกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นที่พูดคุยถกเถียงกันในเฟซบุ๊ก

อีกทั้งกรณีของฟลุ๊ก เดอะสตาร์ที่ให้ข่าวว่าจะช่วยบริจาคเงิน 100,000 บาท เพื่อช่วยอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ตลอดจนเห็นการแชร์ในประเด็นราคาข้าวที่แสนจะตกต่ำ ของคนในเฟสบุ๊กว่า









เหล่านี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า เองในฐานะลูกชาวนาและเป็นชาวนาชาวนา ก็อยากจะสื่อสารกับสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจ รวมทั้งเปิดพื้นที่ในการสื่อสาร ในประเด็นเหล่านี้

“ฉันทำนาตั้งแต่จำความได้” แม้ไม่แน่ใจว่าตอนนั้น 4 หรือ 5 ขวบแต่ที่แน่ๆฉันยังไม่เข้าโรงเรียน บางวันพ่อจะปลุกฉันและให้ฉันช่วยจูงวัว จูงควายไปนา โดยเฉพาะฤดูปลูกข้าวและเกี่ยวข้าว ตีสี่ครึ่ง คือเวลาตื่นของเด็กเล็กอย่างฉันและครอบครัว

“ผืนนาของฉัน เป็นดินปนทราย” ปีไหนฝนตกดีเราก็จะได้ทำนาแบบน้ำเต็มนา ฉันชอบเอาตัวแช่น้ำไปด้วย ดำนาไปด้วย เพราะการก้มๆเงยๆ ตากแดดมันไม่ได้สนุกเลย สำหรับเด็กๆอย่างฉัน แต่ถ้าปีไหนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ฉันจะเห็นก้อนทุกข์ปกคลุมทั่วครอบครัว แววตาของแม่จะหม่นเศร้ามากกว่าใคร เพราะแม่รักนา มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ลูกสาวอย่างแม่ นอกเหนือจากสายเลือดลูกชาวนาที่เข้มข้นกว่าสิ่งใด

นาเรา “ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งน้ำและไม่มีคลองชลประทาน” ชีวิตของเราจึงอยู่ในเงื้อมมือ ของธรรมชาติ 100% ตัวแปรที่สำคัญที่สุด คือ ฝนนั่นเอง และไม่เพียงแต่ฝนต้องตกตามฤดูกาลแต่ต้องมีปริมาณที่พอดี เพราะปีไหนไม่มีฝน คือ ไม่มีข้าว ถ้ามากไปก็ท่วม น้อยไปข้าวก็ ได้ผลผลิตไม่เติมที่ มีโรคระบาด เราจึงบอบบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาศโลก

นาที่บ้านฉัน “ปลูกข้าวได้ปีละครั้ง เฉพาะช่วงฤดูฝน” อย่างที่อธิบายข้างต้น เรารอฝน และฝนก็มีปีละครั้ง รอบของการผลิต เริ่มต้นที่ปลายเดือนเมษายนและไปจบเอาปลายเดือนพฤศจิกายน คือ ใช้เวลาในนาทั้งหมด ร่วมๆ 8 - 9 เดือน เลยทีเดียว ที่เราต้องอยู่กับนา กับข้าว กับเครื่องมือการเกษตร หมดฤดูทำนาก็ยังต้องอยู่กับนา เพื่อเลี้ยงควายและวัว จึงนับว่าเราใช้เวลาทั้งหมดในนา นาจึงเป็นชีวิต เป็นวิถีปฏิบัติ เป็นจิตวิญาณ เป็นความเข้าใจโลกและเป็น Every day life นั่นเอง

จริงๆแล้วชาวนาอย่างแม่ อย่างครอบครัวของเราและชาวนานาอื่นๆ ทำนากันเก่งมาก เป็นผู้เชี่ยวชาญ แม่ทำนาตั้งแต่จำความได้ จนตอนนี้อายุ 70 แต่ก็ยังทำอยู่และแม่ทำคนเดียว 17 ไร่ จ้างคนช่วยบ้าง ไม่จ้างบ้างเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าแรงและแรงงานก็หายาก เพราะทุกคนก็ทำของตัวเอง ชาวนาแบบแม่ขยันขันแข็ง ไม่เคยท้อแท้ต่ออาชีพของตัวเองเลย และแม้การปรับตัวจะเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะมันล้วนต้องอิงกับปัจจัยภายนอก ที่หมายถึง ฤดูกาล นโยบายรัฐ ข้อจำกัดของการเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิต เงินทุน แหล่งน้ำและชลประทาน เราจึงได้แต่ฝากชีวิตและความหวังไว้กับฤดูกาลและความไม่แน่นอนของราคาผลผลิต

“การใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมี” ก็จึงเหมือนเป็นเหมือนหลักประกันเดียว ว่าทุนและแรงที่ลงไปทั้งหมดมีสิ่งที่การันตี หมายถึงข้าวจะรวงงาม สม่ำเสมอ ไม่มีโรค รา เพลี้ยลงนาข้าว ให้ข้าวเสียหาย .... บ่อยๆที่คนตั้งคำถามซ้ำๆว่าใส่ทำไมสารเคมี ปุ๋ย ฉันคิดว่า ชาวนาคงตอบซ้ำๆ ว่าเพื่อให้ข้าวงามและไม่มีโรค เพราะถ้าข้าวไม่งาม มีโรค ก็หมายถึง การล่มสลายไร้ซึ่งหลักประกัน นาอินทรีย์จึงเป็นทางสายที่ชาวนาจำนวนมากที่เสี่ยงไม่ได้ ไม่เลือก

แม่จะเริ่มต้นฤดูกาล ตอนเดือนหก (หลังสงกรานต์) ด้วยมีขั้นตอนสำคัญ ขั้นแรกสุดเลย คือ การไหว้ตาแฮก - ยายแฮก เช้าตรู่วันที่ได้กฤษ์ลงนาแม่จะเตรียมข้าวเหนียว อาหารที่หาได้ รวมทั้งยาสูบ เหล้าขาว ใส่กระทงไปไหว้ที่ต้นแก (ต้นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง) ที่หัวนา แม่บอกฉันว่า “บรรพบุรุษของเรารวมทั้งตา - ยาย อยู่ที่นี่ ไม่เคยไปไหน และคอยอวยพรให้เราได้ข้าวเยอะๆ ไม่มีเพลี้ย ไม่แล้ง ขายข้าวได้ราคาดีๆ"

“ป้านคันนา (ทำคันนา) ” เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ที่คนแถวบ้านฉันต้องทำ ก่อนฝนจะมาเราต้องมั่นใจว่า คันนาจะสูงและมั่นคงพอที่จะกักน้ำได้ตลอดจากนี้อีก 4 - 5 เดือน เพราะฝนทุกเม็ดที่หล่นจากฟ้า ดินจะดูดซับอย่างรวดเร็ว อย่างที่บอก ที่บ้านฉัน นาเป็นดินทราย เราจึงจำเป็นต้องให้คันนาสูงที่สุด และลุ้นตลอดว่าฝนที่ตกมานั้น จะเติมคันไหม แต่ถ้าตกมากเกินไป คันนนาแตก หรือขาด เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่ต้องรีบแก้ไข “ต้องป้านคันนาใหม่”

“ไถนาฮุด” คือ การไถเพื่อกลับดิน ให้หญ้าตาย เพื่อเตรียมลงกล้า เตรียมดำนา ใช้เวลาร่วมสองเดือนกว่าจะไถเสร็จ วิถีดั่งเดิมของบ้านฉันคือ การไถนาด้วยควาย จึงใช้เวลานาน แต่ละเมียดละไม เพราะนอกจากเราจะตระหนักถึงจิตวิญญาณของอาชีพชาวนา เรายังตระหนักถึงบุญคุณของวัว - ควาย ที่ช่วยในกระบวนการทำนาและทำให้เราเสียเงินไปกับปุ๋ยเคมีน้อยลง ทำให้ชาวนาอย่างฉัน มีภาพความทรงจำ ว่าครั้งหนึ่งฉันได้ขี่ควาย ได้เล่นน้ำกับควาย ได้ดูแลกัน และบ่อยๆ ควายก็แกล้งฉัน แน่นอนตัวแสบแบบฉันก็เอาคืนมันด้วย

จะว่าไปฉันอยากพูดถึงควาย ซึ่งภาษาอิสานจะออกเสียงว่า “ควย” นั้น ในบริบทของสังคมไทยกระแสหลัก “ควย (ออกเสียงด้วยภาษาลาว ภาษาอิสาน) เป็นคำด่า ที่หยาบคาย” ฉันต้องการเรียกร้องให้ยุติการเหยียบย่ำควย (ควาย) เพราะเวลาที่ชาวนา คนอิสานพูดถึงควย หรือ ควาย เราไม่ได้กำลังด่าใคร และไม่ใช่คำหยาบคายในตัวของมันเอง

“ความรัก ความผูกพันของชาวนาต่อควายและวัวของเขา” สะท้อนผ่านภาพแม่ของฉัน ที่เลี้ยงดูควายของเธอเป็นอย่างดี หมดฤดูที่สามารถเลี้ยงควายกลางทุ่ง เมื่อทุ่งหญ้า เปลี่ยนเป็นทุ่งนา แม่และฉันเราจะต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปเกี่ยวหญ้าให้ควาย หญ้าแก่ๆ แม่จะไม่เกี่ยวมาให้ควาย ให้วัวของแม่กิน เพราะมันไม่อร่อย แม่ว่า นอกเราจะเลี้ยงเขาด้วยหญ้าสด แม่ยังเลี้ยงด้วยรำ จนทุกตัวของแม่อ้วนกลม และเมื่อถึงคราวที่เราจะต้องขายวัว - ควายไป ฉันก็ได้แต่น้ำตาไหล ภาพแม่เอามือลูบวัว ควายของเธอ และพูดเบาๆข้างหู เป็นภาพที่ฉันจำติดตา ฉันไม่เคยได้ยิน ว่าแม่พูดว่าอะไร แต่ฉันรู้ว่าทั้งคู่ เจ็บปวดจนไม่มีคำจะบรรยาย และแม้เขียนถึงฉันก็ยังคงร้องไห้

“ดำนาผง” คือ อีกความเจ็บปวด ความแร้งแค้นที่ฉันหาคำเปรียบเปรยไม่ได้ ฉันจำได้ว่าฉันเจอกับการทำนาแบบนั้นอยู่ครั้ง สองครั้ง ในชีวิตวัยเด็ก มันคือ การใช้ควายไถนาที่ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว เราต้องเอากล้าเหี่ยวๆ ที่รอดตายเพราะความอึด ไปปักลงบนดิน ที่ฝนทิ้งช่วง ฉันตระหนักว่าชาวนาแต่ละคนมีความสามารถที่จะรับมือกับสิ่งนี้ต่างกัน นาลุ่มอาจจะดีหน่อย คืออยู่ใกล้น้ำ แต่ก็ต้องมีเงินซื้อน้ำมัน มีเงินเช่าเครื่องสูบน้ำถึงจะสามารถสูบน้ำขึ้นมาดำนาได้ แล้วก็ต้องไปลุ้นเอาอีกทีว่าหลังจากดำไปแล้ว จะมีฝนมาไหม “แม่พาฉันดำนา โดยปักต้นข้าวเหี่ยวๆ ลงไปบนดินทรายแห้งๆ” อย่างที่ฉันบอก ฉันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ว่า แม่รู้สึกอย่างไร แม้กระทั่งตัวฉันเองก็ไม่รู้จะพรรณาถึงมันอย่างไร

ฉันยังจำภาพหนึ่งติดตาคือ ภาพที่แม่เอาถังไปตักน้ำมารดข้าวที่ปลูก แม่พูดกับต้นข้าวของตัวเองว่า “ขอให้รอดนะ” ฉันเห็นความหวังของผู้หญิงคนหนึ่งต่อต้นข้าว แรงกาย แรงใจและจิตวิญญาณของเธอ ท่ามกลางความสิ้นหวัง ไร้ที่พึ่งพิง เพราะแม้แต่ฤดูกาลก็ไม่เข้าข้างเรา

“ถอนหญ้า หว่านปุ๋ย ดูคันนา ดูหนอน ดูแมลง เกี่ยวหญ้าให้วัว ควาย” เหล่านี้เกิดขึ้นควบคู่กันกับการหาปู หาปลา ซึ่งเป็นการไปนาทุกวันหลังการดำนาแล้วของชาวนา แปลว่า แม้จะดำนาเสร็จเราก็ยังมีงานในนาที่่ต้องทำ

“เกี่ยวข้าว” สำหรับแม่คือการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะแปลงที่รวงข้าวหนักๆ แม่จะมีความสุขมาก เพราะนั่นหมายถึงผลลิตที่มากขึ้น ต่างกับฉันที่ทำหน้าหน้าเห๋ยเก เพราะมือน้อยๆ รับน้ำหนักข้าวไม่ไหว เด็กอย่างฉัน อาจจะไม่ได้สนุกเท่าไหร่ เดือดร้อนแม่ต้องหาของเล่นให้ จำได้ว่า แม่สอนฉัน ทำปี่ จากซังข้าว และฉันก็เป่ามันไปด้วย เกี่ยวข้าวไปด้วย เพลินทีเดียว เราเกี่ยวข้าวและตากไว้แบบนั้น จนบ่ายก็จะมัดและเก็บไปกองรวมกันที่ลานข้าว

“ฟาดข้าว (นวดข้าว)” เป็นขั้นตอนที่ฉันได้ทำน้อยสุด เพราะตอนนั้นฉันเด็กเกินกว่าจะนวดข้าวได้ แม้ความทรงจำผ่านการลงมือปฏิบัติจะเลือนลาง แต่ภาพเด็กน้อยๆ นอนรอแม่ พ่อ นวดข้าว ดูดาว เผาข้าวหลาม และผิงไฟอุ่นๆ กระจ่างชัดพอๆกับคืนเดือนหงาย ที่พระจันทร์เติมดวง และแม้ในคืนข้างแรม ดาวบนฟ้าก็ส่องประกายวาววับ ฉันจำดาวไถ ที่รูปร่างเหมือนไถ ดาวห่าว (เป็นชื่อดาวที่แม่เรียก) เป็นดาวที่บอกเวลา ซึ่งแม่สอนให้ฉันดูดาว .... ฉันชอบการนวดข้าว ฉันชอบที่เห็นแม่มีความสุขกับการได้เห็นผลผลิตจากน้ำพัก น้ำแรงของแม่ เธอสะท้อนความสุข ผ่านการร้องเพลง ซึ่งในภาวะปกติ ฉันแทบจะไม่ได้ยินแม่ทำแบบนั้นเลย

“เล้าข้าว (ฉางข้าว)” เป็นสิ่งสะท้อนปริมาณผลผลิตได้ดีทีเดียว บ้านไหนเล้าใหญ่ ก็แปลว่ามีข้าวเยอะ ก็จะมีฐานะที่ดีหน่อย แต่ที่บ้านเป็นเล้าขนาดกลางๆ เราย้ายเอากองข้าวจากลานนา มาที่บ้านโดยการจ้างวัวเทียมเกวียนขนข้าวมาใส่เล้า ฉันจำไม่ได้ว่าค่าจ้างเที่ยวละเท่าไหร่ แต่ฉันชอบนั่งไปกับเกวียน อ้อ ครั้งสุดท้ายที่เราได้จ้างเกวียนขนข้าวมาที่เล้าเนี้ยได้สัก 15 เกวียน ซึ่งตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่ามากหรือน้อย แต่คนที่มีนาเยอะที่สุดเกือบร้อยไร่ เข้าได้มากกว่าร้อยเกวียนแน่ๆ

“ราคาที่ชาวนาไม่สามารถควบคุมเองได้และเป็นไปตามกลไกของตลาดที่มีการเมืองคอยแทรกแทรงตลอดเวลา เป็นเหมือนผีที่คอยตามหลอกหลอนชาวนาอย่างแม่ เพราะราคาต้นทุนที่แท้จริง คือ ค่าความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ค่าแรงตลอดทั้งปี ที่ชาวนาต้องขลุกอยู่ที่นา ราคาเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย และแม้แม่ไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลง แต่คนอื่นๆใช้ ก็ต้องนับค่ายาด้วย ค่าเกวียน ค่าแรงวัวควายที่ช่วยเราทำนา”

ต้นทุนเหล่านี้หายไปจากการคำนวนราคาข้าวกลไกตลาดที่ไม่เป็นธรรม และการบริหารงานของรัฐบาลที่ล้มเหลวในทุกยุค ทุกสมัยเพราะไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมให้กับอาชีพที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ทำ โดยนับจากภูมิภาคที่ยังทำนาอยู่คือ อีสาน เหนือ ตะวันตก กลางและใต้บางส่วน

ในมุมมองของชาวนาอย่างฉัน การคำนวนราคาข้าวที่แท้จริง ต้องคำนวนจาก 1) ราคาที่ดิน 2) ค่าความชำนาญ 3) ค่าแรง 4) ค่าเมล็ดพันธุ์ 5) ค่าเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งรวมทั้งเครื่องมือและค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง และต้องมี 7) กำไร เพื่อเป็นทุนในการดำรงชีวิต ของคนในอาชีพนี้ด้วย

ดังนั้น ราคาข้าวที่แท้จริงที่เราต้องซื้อจากชาวนา คือ กิโลกรัมไม่ต่ำกว่า 100 บาท เพราะนี่คือ ราคาที่เป็นธรรม ที่จะทำให้อาชีพนี้อยู่ และมีที่หยัดที่ยืนในสังคม และมันเป็นราคา ที่ฉันคำนวนตามจริง เพราะฉันเป็นชาวนา ฉันทำ และฉันคำนวนมัน ด้วยมือของฉันเอง

นั่นสะท้อนข้อเท็จจริงว่าข้าวทุกเม็ด ในแต่ละจาน ที่เรากินอยู่อย่างเอร็ดอร่อยในบ้านเมืองนี้ คือ การเชือดเฉือด กินเลือด กินเนื้อของชาวนาด้วยความเลือดเย็น ข้าวเปลือกกิโลกรัมละ 5 บาท 16 บาท ห่างไกลเป็นสิบเท่า จากราคาต้นทุนการผลิต แปลว่า ชาวนา ทำนาติดลบ เพื่อให้คนในบ้านนี้เมืองนี้ กินข้าวถูก ราคาค่าแรงจะได้ไม่แพง กำไรที่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ ไปตกอยู่ในกระเป๋าของใคร

ถึงตอนนี้แล้ว “อย่าถามว่าทำไมชาวนาอยากได้นโยบายประกันราคาข้าว ทำไมชาวนาเป็นหนี้ ทำไมลูกชาวนาถึงไม่ทำนา ทำไมชาวนาถึงยอมขายนาที่เขารัก ทำไมแม่สอนว่าให้ไปเป็นเจ้าคนนายคน”

เพราะความเป็นธรรมต่อคนที่ทำอาชีพนี้ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ประเทศนี้

0000

เกี่ยวกับผู้เขียน: ปัจจุบัน มัจฉา พรอินทร์ เป็นนักศึกษาปริญาโทสตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักรณรงค์หญิงรักหญิง ที่เคลื่อนไหวประเด็นสิทธิความหลากหลายทางเพศ SOGIE (sexual orientation, gender identity and expression), สิทธิเด็ก สิทธิชาติพันธุ์และสิทธิสตรี ในระดับประเทศและนานาชาติ

ooo





เขาหวังให้ชาวนาไทยเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นล่ะหรือ?

วันนี้ข้าวเปลือกอยู่ที่ตันละ 5500-6000 บ.


Chamnan Pengpark