วันเสาร์, ตุลาคม 22, 2559

กระบวนการ 'ไล่ล่า' ในสังคมไทยในปัจจุบัน






ขณะที่เหตุการณ์ล่าแม่มด ‘เพื่อพ่อ’ และตบเตะถีบ ‘ให้รัก’ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมากว่าสิบราย ล้วนแต่กระทำกับคนเสียสติหรือผู้ป่วยทางจิตเป็นส่วนใหญ่

รวมทั้งสองรายล่าสุดเมื่อวานที่สระแก้ว และวานซืนที่เมืองจันท์ รายสระแก้วเป็นหนุ่มวัย ๑๘ ปี ตำรวจตรวจสอบเสร็จพบว่า โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันบนเฟชบุ๊คเพราะ ‘เมากัญชา’

(http://prachatai.org/journal/2016/10/68459)

กระบวนการ 'ล่ายิ่งลักษณ์' ยังติดกักอยู่ที่ศาลอาญาแผนกคดีการเมือง







วานนี้มีการสืบพยานสองรายคือ อดีต ผอ. สำนักงบประมาณ กับอดีตกรรมการกำกับบริหารหนี้สาธารณะ

รายแรก นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ให้การว่า “งบประมาณที่ใช้ในโครงการภาพรวมอาจจะดูตัวเลขสูง แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายปีเป็นตัวเลขที่ไม่ได้สูงกว่ารัฐบาลชุดก่อนๆ” แม้จะยอมรับว่า

“ครม.มีมติให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)ใช้เงินของ ธกส. ๙ หมื่นล้านโดยไม่ต้องจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี การใช้จ่ายเงินในโครงการไม่สามารถเกินกรอบที่กำหนดไว้ได้”

(http://www.matichon.co.th/news/330723)

รายที่สอง นายเกษม มกราภิรมย์ เบิกความว่า “สินเชื่อ จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์สำรองจ่ายให้กับเกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าวว่า เงินส่วนดังกล่าวไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะ

ขณะที่เงินที่ได้จากการระบายข้าวของรัฐบาลก็ไม่ถือเป็นรายได้แผ่นดิน เพราะเป็นเงินที่นำมาช่วยเหลือเกษตรกร ผ่านทาง ธ.ก.ส....

เงินที่นำมาใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งในส่วนเงินกู้ที่กระทรวงการคลัง เป็นผู้ค้ำประกัน จำนวน ๔.๑ แสนล้านบาท และสินเชื่อเก้าหมื่นล้านบาทของ ธ.ก.ส. เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องชดใช้ทั้งสิ้น แต่มีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน”

(http://news.mthai.com/hot-news/politics-news/527497.html)






รายละเอียดดังกล่าวชี้ชัดประการหนึ่งว่า ข้อหา น.ส.ยิ่งลักษณ์บริหารจัดการผิดพลาดร้ายแรงทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้านนั้น ยังไม่เป็นที่สิ้นสุดตั้งแต่เมื่อ คสช. เริ่มนำเอา ม.๔๔ มาใช้บังคับทางปกครองเพื่อตบทรัพย์อดีตนายกฯ หญิง เมื่อปีที่แล้วมาจนกระทั่งบัดนี้

ย่อมถือว่ายังไม่มีความผิดดังที่จำเลยต่อสู้และผู้สนับสนุนเห็นพ้องกันก้องกึก

การไล่ล่าตบทรัพย์จากยิ่งลักษณ์มันต่างกับพวกรักพ่อหลวงอย่างคลั่งไคล้ไล่ตบตีคนไม่มีทางสู้ตรงไหน

แต่สำหรับการล่าแม่มดไม่รักพ่อ ยังน่าสนใจกว่าตรงที่มีพัฒนาการใหม่ กสม. (กรรมการสิทธิฯ) ออกมาแถลงว่า “การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิทำอย่างนั้นเพราะต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย...

จะไปด่า ไปทำร้ายเขาไม่ได้ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีอำนาจทำร้ายเขา”







นายวัส ติงสมิตร ประธานฯ ผู้แถลงเลยโดนทีนิวส์ของสนธิญาน หนูแก้ว ซึ่งตอนนี้ย้ายไปอยู่ไบร๊ท์ทีวี ปฏิบัติการบริภาษณ์ใส่ความ ใส่ไคล้ ไล่ล่าตระกูลชินฯ และค่ายประชาธิปไตยฝ่ายตรงข้ามของตน ในคราบสื่อ ไม่ยั้งมือต่อไป

เช่นเดียวกับกระทรวงคมนาคม โดยรองนายกฯ จั่นตอง ออกตามล่า “สกัดกั้นและยุติเว็บไซต์และคลิปวิดีโอที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์” ในโลกไซเบอร์อย่างมีนัยยะสำคัญ

นั่นคือแจ้งต่อผู้บริหารระดับสูงของกูเกิ้ลและยูทู้ปช่วยจัดการ ก็ได้รับการสนองอย่างดีว่า “ยินดีปรับแนวทางเพิ่มเติม โดยจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจในประเทศสหรัฐที่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับประเทศไทย (ทีมงานดังกล่าวมีคนไทยรวมอยู่ด้วย)

และได้ปรับแบบฟอร์มร้องเรียนเว็บไซต์และคลิปวีดีโอที่ไม่เหมาะสมในรูปแบบภาษาไทย...และให้การแจ้งข้อมูลร้องเรียนดำเนินการได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง”

พล.อ.อ.ประจิน ยังแจงด้วยว่า “ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ตุลาคมที่ผ่านมานั้นพบว่ามีผู้กระทำความผิด ๑๒๐ ราย และไม่ค่อยพบว่าเป็นชาวต่างชาติ” ทั้งนี้จะทำการติดต่อกับผู้ดำเนินการไลน์และเฟชบุ๊คขอความร่วมมือเช่นเดียวกัน

(http://prachatai.org/journal/2016/10/68473)

คงต้องจับจ้องกันต่อไปว่าความร่วมมือจากผู้ดำเนินการโซเชียลมีเดียหลักๆ เหล่านั้น จะไปไกลแค่ไหนและมีประสิทธิภาพในการกวาดล้าง ‘เว็บหมิ่นฯ’ จริงๆ เพียงไร ไม่ใช่เป็นการไล่ล่าคนบ้าคนบออย่างที่เกิดขึ้นก็แล้วกัน

ทางที่ดีคอยเหลียวดู พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway ไว้หน่อยน่าจะดี เผื่อมีอะไรจำเป็นจะได้หยิบฉวยช่วยกันได้