วันจันทร์, ตุลาคม 10, 2559

ประชาไท รายงาน: อีเมล์-พ่อ-และปิยะ คำตัดสินจำคุก 8 ปีคดี 112 มาตรฐานใหม่ศาลอาญา





รายงาน: อีเมล์-พ่อ-และปิยะ คำตัดสินจำคุก 8 ปีคดี 112 มาตรฐานใหม่ศาลอาญา


Mon, 2016-10-10 19:49
ทีมข่าวกระบวนการยุติธรรม

ที่มา ประชาไท

เรื่องราวอันเงียบเชียบของปิยะ อดีตโบรกเกอร์ผู้ถูกจับปลายปี 57 หลังรัฐประหารและติดคุกยาวนับแต่นั้น คดีเขาขึ้นศาลอาญาเพราะเหตุเกิดปี53 คดีแรกเป็นการโพสต์เฟซบุ๊ก มีเครือข่ายประชาชนร่วมจับตา-แจ้งความ คดีที่สองเป็นการส่งอีเมล์ไปธนาคารกรุงเทพ ศาลอาญาพิจารณาคดีลับ ห้ามคัดถ่ายคำพิพากษา ลงโทษกรรมละ 8 ปี ไม่ใช่ 5 ปีเหมือนคดีเก่าๆ

10 ตุลาคม 2559 ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก

มีการอ่านคำพิพากษาคดี 112 คดีที่สองที่นาย ปิยะ (สงวนนามสกุล) ตกเป็นจำเลย

ในการฟังคำพิพากษาในวันนี้ ครอบครัวของปิยะ มีเพียงพ่อวัย 72 ปีที่เดินทางมาศาล แต่เขาไม่ยอมขึ้นมาฟังคำพิพากษา หากแต่ไปนั่งรอหน้ากรงขังผู้ต้องหาในชั้นล่างสุดของศาลอาญา เนื่องจากไม่อาจทำใจรับฟังโทษทัณฑ์ครั้งที่สองได้

ในห้องพิจาณาคดีมีผู้สังเกตการณ์คดีของปิยะอยู่จำนวนหนึ่ง นอกนั้นเป็นญาติ ทนายของจำเลยในคดีอื่นๆ ผู้พิพากษาสั่งให้ทั้งหมดออกจากห้อง ยกเว้นจำเลยและทนายความในคดีนี้เท่านั้น เนื่องจากต้องอ่านคำพิพากษาแบบปิดลับ เนื่องจากเกรงว่าข้อความอันไม่สมควรจะแพร่กระจายออกไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ล็อคประตูห้องพิจารณาคดีทันที

“คดีนี้ศาลสั่งพิจารณาลับโดยอัยการไม่ได้ร้องขอ แตกต่างจากคดีอื่นที่พิจารณาลับก่อนหน้านี้ และไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ให้เจ้าหน้าที่ล็อกห้องเพราะศาลเกรงว่าคนข้างนอกที่ไม่รู้กำลังพิจารณาคดีอะไรอยู่จะเปิดเข้ามาโดยบังเอิญ ส่วนที่ไม่ให้คัดถ่ายคำพิพากษาเนื่องจากข้อความตามฟ้องมีถ้อยคำหยาบคายรุนแรงมาก เกรงว่าข้อความจะหลุดออกไปสู่โลกภายนอก แต่อนุญาตให้ทนายจำเลยจดด้วยลายมือได้” ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ทนายความจำเลย จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าว

ศาลอ่านคำพิพากษาราว 10 นาที ทนายความออกมาแจ้งว่า ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกปิยะ 8 ปี เมื่อนับรวมโทษจำคุกกับคดีเก่าที่เพิ่งตัดสินไปเมื่อต้นปีอีก 6 ปี เขาจึงเป็นจำเลยคดี 112 ที่ต้องโทษจำคุก 14 ปีจากการถูกฟ้องสองครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการโพสต์เฟซบุ๊กในปี 2556 ซึ่งถูกติดตามตรวจสอบและแจ้งความโดยประชาชนในกลุ่ม ‘ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม’ อีกครั้งหนึ่งเป็นการส่งอีเมล์ถึงธนาคารกรุงเทพฯ ในปี 2551 และ 2553 ซึ่งตำรวจเป็นผู้ดำเนินการกล่าวโทษเอง โดยเรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมาเมื่อธนาคารกรุงเทพได้แจ้งความดำเนินคดีปิยะฐานหมิ่นประมาทนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ (มหาชน) ในภายหลังธนาคารได้ถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาทไป และตำรวจได้ดำเนินการในคดีนี้แทน

ปิยะ เป็นชายวัย 46 ปี เคยทำงานธนาคารและเป็นอดีตโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น หน้าตาคมเข้ม มีรูปร่างสูงใหญ่ เขามาฟังคำพิพากษาในชุดนักโทษ ด้านหลังเสื้อเขียนเลข 8 อันเป็นตัวเลขระบุแดนที่เขาอยู่ เขาถูกใส่ ‘กุญแจเท้า’ แต่แปลกว่านักโทษคนอื่นตรงที่เขาไม่มีเชือกป่านเล็กๆ ที่ผูกอยู่กลางโซ่ระหว่างข้อเท้าแล้วนำขึ้นมาถือไว้ เพื่อจะยกโซ่ขึ้นเวลาเดินทำให้เดินได้สะดวกขึ้น เขาจึงเดินค่อนข้างลำบาก ด้านหลังข้อเท้ามีพาสเตอร์แปะไว้ คาดว่าเป็นผลมาจากการเสียดสีของเหล็กกับเนื้อ เขาถูกจำคุกมาตั้งแต่เมื่อโดนจับกุมในเดือนธันวาคม 2557 เป็นต้นมาจนปัจจุบัน ครอบครัวของเขาไม่เคยยื่นประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีเนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอ

- - - - - - - -




ทนายความแจ้งผลคำพิพากษาแก่พ่อของปิยะ


คดีที่สองที่พิพากษาในวันนี้ เขาถูกฟ้อง 4 กรรม จากการส่งข้อความ 2 ข้อความ โดยผู้ส่งชื่อ Vincent Wang และลงท้ายข้อความว่า “จุ๊บ”

1. ส่งอีเมล์ไปยังธนาคารกรุงเทพและหน่วยงานอื่นรวม 4 แห่ง ในเดือนพฤษภาคม ปี 2551

(จากข้อมูลชื่ออีเมล์ตามคำฟ้องที่ปรากฏในเว็บโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ (iLaw) เมื่อสืบค้น พบว่า เป็นอีเมล์ของธนาคารกรุงเทพฯ, สำนักราชเลขาธิการ, เครือข่ายกาญจนาภิเษก ส่วนอีกแห่งหนึ่งไม่สามารถสืบค้นได้)

2. ฟอเวิร์ดเมล์ดังกล่าวไปยัง Vincent Wang อีกครั้ง (ผู้รับและผู้ส่งชื่อเดียวกัน)

(หลักฐานนี้ธนาคารกรุงเทพปริ๊นท์นำส่งตำรวจ)

3. ส่งข้อความไปยังช่องติดต่อสอบถามของธนาคารกรุงเทพฯ ในเดือนมิถุนายน ปี 2553

(ที่น่าสนใจคือ หากดูจากบางส่วนของคำฟ้องที่ไอลว์สรุปไว้จะพบว่ามีเรื่องภรรยาป่วยปรากฏในส่วนนี้ “ปิยะถูกกล่าวหาว่าส่งอีเมล์โดยใช้ชื่อว่า จุ๊บ (Vincent Wang) มีเนื้อหาทำนองตัดพ้อว่า ถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับให้เขียนอีเมล์หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ เพื่อแลกกับชีวิตภรรยา จึงต้องพยายามเมาเหล้าก่อนเขียน และรู้สึกเสียใจมาก โดยได้ยกข้อความส่วนหนึ่งของอีเมล์ที่ถูกบังคับให้เขียนมาเล่าไว้ด้วย ข้อความดังกล่าวมีเนื้อหาลักษณะหมิ่นประมาทสมเด็จพระพี่นาง และสมเด็จย่า และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว....” )

4. ในวันเวลาเดียวกับข้อ 3. มีการส่งต่อข้อมูลที่นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในข้อ 3. นับเป็น ‘การเผยแพร่’

(ข้อสังเกตคือนับเป็นคดีแรกๆ ที่แยกส่วนการพิมพ์ข้อความกับการส่งข้อความเข้าระบบเป็นคนละกรรม)

สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือการสืบพยานในคดีนี้ ซึ่งไอลอว์ได้เขียนสรุปไว้อย่างละเอียดใน บันทึกนอกสำนวน เมื่อศาลปิดประตูล็อกห้องสืบพยานคดี 112 ของปิยะ ระบุว่า ตำรวจไม่มีการแจ้งข้อหาและสอบสวนในสองกรรมแรก คือ ข้อ 1. และ ข้อ 2. ซึ่งผิดหลักป.วิอาญา นอกจากนี้ในด้านหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยง Vincent Wang ผู้ส่งเมล์ กับ ปิยะ ผู้ใช้ชื่อ Vicent Wang ในธุรกรรมกับต่างประเทศเข้าด้วยกันนั้น ปรากฎว่า ไม่สามารถสืบทราบได้ว่าไอพีดังกล่าวเป็นใคร

(เมื่อธนาคารกรุงเทพได้รับเมล์ข้อความหมิ่นก็ได้นำ Mail Header ไปตรวจสอบพบหมายเลขไอพีแอดเดรสแล้วส่งให้ตำรวจ ตำรวจส่งตรวจสอบกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) แต่ทางผู้ให้บริการตรวจสอบไม่ได้เนื่องจากข้อมูลจราจรดังกล่าวเกินกำหนด 90 วันตามที่กฎหมายกำหนดให้จัดเก็บไว้ ตำรวจนำอีเมล์ Vincent ไปสอบถามผู้ให้บริการอีเมล์ พบว่าผู้เปิดใช้อีเมล์คือ สิทธิศักดิ์ ซึ่งเป็นหลานของปิยะ อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนเบิกความว่าได้มีการสอบปากคำสิทธิศักดิ์แล้วยืนยันว่าจำเลยชื่อ จุ๊บ และมีอีกชื่อคือ Vincent Wang พร้อมยืนยันด้วยว่จำเลยเคยพูดจาบจ้างสถาบันและอดีตภรรยาของจำเลยติดเชื้อ HIV ขณะที่จำเลยเบิกความว่าทั้งสิทธิศักดิ์และอดีตภรรยานั้นล้วนเคยมีเรื่องบาดหมางและทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับเขา นอกจากนี้ธนาคารกรุงเทพตรวจสอบหมายเลขไอพีแอดเดรสจากอีเมล์ที่ส่งหาในวันอื่น แต่ไม่ตรวจหาไอพีแอดเดรสของผู้ส่งข้อความตามวันเวลาที่ถูกฟ้องทั้งสองข้อความ ทั้งที่เป็นข้อมูลที่ธนาคารกรุงเทพในฐานะผู้ให้บริการสามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก)

หากไล่ดูคำพิพากษาซึ่งปรากฏในเพจไอลว์ จะพบว่า ศาลยกฟ้อง 3 กรรมและลงโทษ 1 กรรม

ยกฟ้องในข้อ 1. และข้อ 2. โดยระบุว่าตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหาจำเลยในชั้นสอบสวน สอดคล้องกับที่จำเลยเบิกความว่า ทราบข้อกล่าวหานี้ครั้งแรกเมื่อถูกฟ้องที่ศาลนี้ เท่ากับมิได้ปฏิบัติตามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นฟ้องตาม มาตรา 120 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหานี้

ข้อ 4. นั้นศาลก็ยกฟ้องเช่นกัน โดยระบุว่าโจทก์ไม่นำสืบให้ปรากฏว่า ข้อความตามคำฟ้องข้อ 3. ที่จำเลยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น จำเลยได้เผยแพร่หรือสืบต่อไปให้บุคคลอื่น วันเวลาใด และใช้วิธีการอย่างไร จึงไม่อาจลงโทษจำเลยฐานเผยแพร่หรือส่งต่อตามคำฟ้องข้อ 4 ได้

ขณะที่พฤติการณ์ตามข้อ 3. คือประเด็นที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 8 ปี อันนับเป็นโทษจำคุกต่อ 1 กรรมที่ทำสถิติสูงมากของศาลอาญ เนื่องจากคดีมาตรา 112 ก่อนหน้านี้หลายต่อหลายปี แทบทั้งหมดศาลลงโทษจำคุก 5 ปีต่อ 1 กรรม นอกจากนี้ในคดีก่อนหน้านี้ที่ต่อสู้คดีนั้น ผลมักออกมาเป็นการลดโทษให้จำเลย 1 ใน 3 เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ไม่ว่าคดี เอกชัย ธเนศ ฐิตินันท์ ฯลฯ แม้แต่คดีแรงของปิยะเอง เขาก็ได้รับการลดโทษลง 1 ใน 3 จากโทษจำคุก 9 ปี เหลือ 6 ปี แต่ในคดีนี้เขารับว่า เขาใช้ชื่อ Vincent Wong ในการติดต่อทำธุรกรรมต่างประเทศจริงแต่ไม่ใช่ผู้ส่งอีเมล์ แต่ก็ไม่ได้รับการลดหย่อนโทษ

ไอลอว์สรุปคำพิพากษาในกรรมหนึ่งที่ศาลพิพากษาลงโทษว่า

เนื้อหาที่เขียนในข้อความตามคำฟ้องมีลักษณะโจมตีมุ่งร้าย ทำให้เสียต่อพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ในเนื้อหามีข้อความว่า ภริยาป่วยเพราะติดเชื้อ HIA และ “เพราะผมพยายามเมาเหล้าก่อนที่จะทำตามที่พวกมันบังคับเพื่อแลกกับชีวิตภรรยาผม" ลงชื่อ จุ๊บ (Vincent Wang) ซึ่งจำเลยก็รับว่าชื่อ วินเซนต์ หวัง นั้นจำเลยใช้ในวงการธุรกิจระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นได้ชัดว่าผู้เขียนข้อความทั้งหมดนี้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์จิตที่มีโมหะ ซึ่งผู้เขียนก็ชื่อวินเซนต์ หวัง เหมือนกัน จึงเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลเดียวกัน ปกติคนที่ลุ่มหลงสุรายาเสพติดจนมีอาการมึนเมา มักกระทำการใดๆ ที่ขาดสติยั้งคิด ไม่คิดหน้าคิดหลังถึงผลดีผลร้ายที่จะตามมาภายหน้า เชื่อว่าผู้เขียนข้อความดังกล่าวมีความกล้าพอที่จะใช้นามแฝงของตนจริงๆ ซึ่ง พ.ต.ท.อุดมวิทย์ สอบถามอดีตภรรยาของจำเลยทราบว่าป่วยเป็นโรคเอดส์ ตรงกับที่เขียนลงในข้อความนั้น

สิทธิศักดิ์ หลานของจำเลยให้ปากคำกับตำรวจว่า จำเลยเป็นคนมีนิสัยชอบพูดคนเดียว อารมณ์หงุดหงิด ด่าบ่นไปเรื่อย สอดคล้องกับที่อดีตภรรยาให้การไว้ว่า ช่วงหลัง จำเลยไม่ได้ทำงาน เริ่มเสพยาเสพติด ดื่มสุรา มีอารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย ทั้งเคยทะเลาะทำร้ายตบตีภรรยาถึงขั้นหมดสติไป เนื้อหาพยานหลักฐานโจทก์สอดรับกันดีมีน้ำหนักมาก เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวพันถึงเรื่องราวส่วนตัวของจำเลย ยากที่บุคคลอื่นจะล่วงรู้ได้ ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดมุ่งใส่ความให้ร้ายจำเลย จึงเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเขียนข้อความดังกล่าวและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จตามคำฟ้องจริง

พิพากษาว่า จำเลยมีความๆผิดตามประมวลกฎหายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลย 8 ปี

- - - - - - - -

ยิ่งชีพ ทนายความจำเลยให้สัมภาษณ์ว่าจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ในคดีนี้ หลังจากที่คดีที่แล้วได้อุทธรณ์ไปแล้ว

หลังจากทนายความแจ้งผลพ่อของปิยะ เขานิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะแสดงความผิดหวังในผลการพิจารณาคดี เขากล่าวว่าเขาไม่แน่ใจว่า วันที่ปิยะออกมาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

“ทั้งเจ็บทั้งอาย เจ็บปวดมาก เจ็บปวดมากๆ”

“ทำกันเหมือนไม่ใช่คน เหมือนเป็นสัตว์ กับข้อความไม่กี่ประโยค”

“เสียดายชีวิต เสียดายชีวิตของเขาเหลือเกิน”

ชายชรากล่าว

อาสาสมัครที่คอยรับฟังเรื่องราวในครอบครัวของนักโทษการเมืองเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นห่วงพ่อของปิยะเสียยิ่งกว่าตัวปิยะเอง เนื่องจากพ่อของปิยะอายุมาก ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง และอาศัยอยู่เพียงลำพัง มีความเป็นอยู่อย่างประหยัดอย่างยิ่ง หลังจากมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับครอบครัวของลูกชายอีกคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ร่วมบ้านกันและได้ย้ายออกไปแล้ว ลูกชายคนดังกล่าวไม่ต้องการให้พ่อไปยุ่งเกี่ยวหรือดูแลปิยะอีกเพราะความกลัวและกังวลว่าจะมีผลกระทบกับคนอื่นๆ ในครอบครัว พ่อพยายามเจียดเงินส่งให้ปิยะได้ใช้จ่ายในเรือนจำ และพยายามเดินทางไปเยี่ยมราวเดือนละ 1 ครั้ง

“บางทีพ่อก็ฆ่าเวลาด้วยการนั่งรถเมล์ไปทั่วกรุงเทพฯ” อาสาสมัครกล่าว

“ผมนอนไม่หลับมาหลายเดือน ต้องกินยานอนหลับทุกวัน” พ่อของปิยะกล่าวและว่าความคาดหวังเดียวในชีวิตตอนนี้คือ ลูกชายจะได้ออกจากคุกในเร็ววัน และเขาจะยังมีชีวิตอยู่ในวันนั้น

ooo

บันทึกนอกสำนวน เมื่อศาลปิดประตูล็อกห้องสืบพยานคดี 112 ของปิยะ





โดย ilaw-freedom 
10 ตุลาคม 2016

ปิยะ เป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 ทั้งหมด 2 คดี ซึ่งทั้ง 2 คดีต้องต่อสู้กันในประเด็นการพิสูจน์ตัวตนในโลกออนไลน์

คดีแรก ปิยะถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊กเป็นข้อความผิดกฎหมาย ปิยะให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนโพสต์เฟซบุ๊กดังกล่าว โดยไม่ทราบว่า เฟซบุ๊กดังกล่าวที่มีรูปใบหน้าตนเองอยู่นั้นใครเป็นคนทำขึ้น โจทก์มีหลักฐานเพียงภาพเฟซบุ๊กที่ถ่ายจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเท่านั้นที่เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ปิยะเป็นผู้โพสต์ข้อความผิดกฎหมาย ซึ่งคดีนี้ศาลตัดสินตามหลักฐานของฝ่ายโจทก์ โดยมีคำพิพากษาในเดือนมกราคม 2559 ให้ปิยะมีความผิดตามข้อกล่าวหา ลงโทษจำคุก 9 ปี แต่ศาลลดโทษให้เหลือ 6 ปี

คดีที่สอง ปิยะถูกกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2551 ปิยะได้ใช้อีเมล์ชื่อ joob22 ส่งอีเมล์ข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ไปที่ธนาคารกรุงเทพและหน่วยงานอื่นรวม 4 แห่ง โดยลงท้ายชื่ออีเมล์ว่า "จุ๊บ (Vincent Wang)" และเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ปิยะได้เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ของธนาคารกรุงเทพ และส่งข้อความผ่านช่องทางการติดต่อสอบถามของธนาคาร ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ โดยส่งไปยังอีเมล์ของชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร และลงท้ายอีเมล์ว่า "จุ๊บ (Vincent Wang)"

ความแปลกของคดีที่สอง คือ มีการส่งข้อความที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ 2 ข้อความ แต่อัยการแยกฟ้องเป็น 4 ข้อโดยข้อแรกเป็นการส่งอีเมล์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2551 ข้อที่สองเป็นการฟอร์เวิร์ดอีเมล์ดังกล่าวซ้ำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2551 ส่งไปยังอีเมล์ผู้รับที่ใช้ชื่อว่า Vincent ข้อที่สามเป็นการเขียนข้อความเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ซึ่งการเขียนถือเป็นการ "นำเข้า" ข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์และเป็นการกระทำผิดแล้ว และข้อที่สี่เป็นการกดส่งข้อความที่เขียนขึ้น ซึ่งเป็นการ "เผยแพร่" จึงถือว่าเป็นการกระทำผิดซ้ำอีกครั้งหนึ่งแยกกันเป็นคนละข้อ

ในชั้นศาลโจทก์ไม่ได้พิสูจน์ถึงไอพีแอดเดรสที่ส่งข้อความ และไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ครบถ้วน

ในคดีที่สอง ปิยะให้การปฏิเสธเช่นเดียวกับคดีแรก โดยการต่อสู้ในคดีที่สองก็ยังคงเป็นเรื่องการพิสูจน์ตัวตนทางคอมพิวเตอร์ ว่าใครเป็นผู้ส่งข้อความตามคำฟ้องร้อง พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์ว่าปิยะเป็นผู้กระทำความผิด มีดังนี้

1) พยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของธนาคารกรุงเทพ ให้ข้อมูลในชั้นศาลว่า หลังจากมีการส่งข้อความเข้ามาในระบบธนาคารเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 แล้ว วันต่อมาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 มีอีเมล์ชื่อ Vincent ใช้หัวเรื่องและเนื้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ เช่นเดียวกัน ส่งเข้ามาที่อีเมล์ของชาติศิริ โสภณพนิช โดยตรง จึงตรวจสอบที่ Mail Header พบว่าอีเมล์นั้นส่งมาจากหมายเลขไอพีแอดเดรส xxxxxxxxx.195 จึงได้นำข้อมูลทั้งหมดมอบให้กับตำรวจ

2) พ.ต.ต.หญิง พรรณทิพย์ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ให้ข้อมูลในชั้นศาลว่า เมื่อได้รับข้อมูลและหมายเลขไอพีแอดเดรสมาจากธนาคารกรุงเทพแล้ว จึงส่งไปตรวจสอบกับผู้ให้บริการ บริษัท ทริปเปิ้ลทรี พบว่า ไม่สามารถตรวจสอบหาผู้ใช้หมายเลขไอพีแอดเดรสดังกล่าวได้ เพราะเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นนานเกินกว่า 90 วัน เลยระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้เก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน เมื่อนำอีเมล์ Vincent ไปสอบถามกับผู้ให้บริการอีเมล์ว่า ใครเป็นผู้จดทะเบียน พบว่า ผู้จดทะเบียนเปิดใช้อีเมล์ ชื่อ สิทธิศักดิ์ มีอีเมล์สำรอง คือ siam_aid

3) รัชพร เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ให้ข้อมูลในชั้นศาลว่า เมื่อนำอีเมล์ siam_aid ไปค้นหาใน google พบว่า มีเว็บไซต์ให้บริการเรื่องการโอนเงินระหว่างประเทศใช้ชื่อ siamaid มีใบหน้าของจำเลยอยู่บนเว็บไซต์ จึงลองส่งอีเมล์ไปสอบถามเรื่องการโอนเงิน และมีคนตอบกลับมา เมื่อตรวจสอบ Mail Header ก็ทราบหมายเลขไอพีแอดเดรสของผู้ใช้งานอีเมล์ siam_aid เมื่อตรวจสอบกับผู้ให้บริการ คือ บริษัท ทีโอที พบว่า ไอพีแอดเดรสดังกล่าว มีผู้จดทะเบียนขอใช้งาน ชื่อ สิทธิศักดิ์

4) พ.ต.ท.อุดมวิทย์ หัวหน้าพนักงานสอบสวน ให้ข้อมูลต่อชั้นศาลว่า เคยสอบปากคำสิทธิศักดิ์แล้ว เป็นหลานของปิยะ ที่อยู่อาศัยบ้านเดียวกัน ยืนยันว่าจำเลยมีชื่อเล่นว่า จุ๊บ และมีอีกชื่อ คือ Vincent Wang สิทธิศักดิ์ยืนยันด้วยว่า จำเลยเป็นคนใช้อีเมล์ Vincent กับ siam_aid รวมถึงยังเคยสอบปากคำอดีตภรรยาของจำเลย ซึ่งให้การว่า จำเลยเคยพูดจาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้อดีตภรรยาของจำเลยติดเชื้อ HIV ซึ่งข้อความตามคำฟ้องที่ส่งทางอีเมล์เมื่อปี 2551 มีเนื้อความส่วนหนึ่งกล่าวว่า ภรรยาของผู้เขียนข้อความติดเชื้อ HIV

ด้านฝ่ายจำเลย มีจำเลยเข้าเบิกความและนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์อีก 1 ปาก ข้อต่อสู้ของจำเลย มีดังนี้

1) จำเลยไม่ได้เป็นผู้ส่งอีเมล์เมื่อปี 2551 และข้อความเมื่อปี 2553 ตามฟ้อง อีเมล์ Vincent นั้นจำเลยไม่ได้ใช้ ส่วนอีเมล์ siam_aid จำเลยเคยใช้ และให้สิทธิศักดิ์นำไปใช้เล่นเกมส์ออนไลน์ พร้อมกับให้รหัสผ่าน การใช้อีเมล์โดยทั่วไปจะเอาชื่อของผู้อื่นมาตั้งเป็นชื่ออีเมล์ก็ได้ และการส่งอีเมล์จะเอาชื่อผู้อื่นมาลงท้ายอีเมล์ก็ได้

2) สิทธิศักดิ์เคยมีเรื่องบาดหมางกับจำเลย ทะเลาะกันจนอยู่บ้านเดียวกันไม่ได้ ส่วนอดีตภรรยาก็เคยทะเลาะกันมีปากเสียงถึงขั้นตบตี จนแยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 2552 พยานสองปากนี้จึงถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน รับฟังไม่ได้

3) ธนาคารกรุงเทพ ตรวจสอบหมายเลขไอพีแอดเดรสจากอีเมล์ที่ส่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 ซึ่งไม่ใช่ข้อความที่จำเลยถูกฟ้อง แต่ธนาคารกรุงเทพกลับไม่ตรวจหาไอพีแอดเดรสของผู้ส่งข้อความตามวันเวลาที่ถูกฟ้องทั้งสองข้อความ ทั้งที่เป็นข้อมูลที่ธนาคารกรุงเทพในฐานะผู้ให้บริการสามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก

4) ในชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่าจำเลยส่งข้อความเมื่อปี 2553 เท่านั้น พนักงานสอบสวนไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการส่งอีเมล์เมื่อปี 2551 แก่จำเลย จำเลยมารับทราบก็เมื่อถูกฟ้องต่อศาลแล้ว เมื่อไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหามาก่อน เท่ากับยังไม่เคยมีการสอบสวนจำเลยเรื่องการส่งอีเมล์ในปี 2551 จึงไม่อาจฟ้องจำเลยต่อศาลในการกระทำนี้ได้

พิจารณาลับสุดยอด ยึดโทรศัพท์ ล็อคประตู ห้ามคัดเอกสาร

เนื่องจากข้อความที่ปิยะถูกฟ้องว่าเป็นผู้ส่งในคดีนี้ มีลักษณะหยาบคายและรุนแรงมาก เพื่อไม่ให้ข้อความแพร่งพรายไปยังบุคคลภายนอก ศาลจึงสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าฟังการพิจารณาได้ ขณะที่ฝ่ายจำเลยแถลงต่อศาลแล้วว่า จะไม่ขอต่อสู้คดีในประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาของข้อความ จะต่อสู้คดีเฉพาะเรื่องการพิสูจน์ตัวผู้ส่งข้อความเท่านั้น

ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งรับทำคดีให้กับปิยะเล่าว่า ในวันนัดสืบพยานวันแรก ศาลสั่งให้ทนายความทุกคนปิดโทรศัพท์มือถือและนำไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ระหว่างการพิจารณาคดี พร้อมกับสั่งให้เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ล็อกประตูห้องเพื่อป้องกันคนภายนอกเปิดเข้ามาในห้องโดยไม่รู้ว่ากำลังพิจารณาคดีอะไรอยู่

นอกจากนี้ เมื่อทนายความขอถ่ายสำเนาคำให้การพยานในชั้นสอบสวน ศาลยังแจ้งกับทนายความว่า ในเอกสารคำให้การพยานจะมีข้อกล่าวหาในคดีนี้ และมีข้อความที่กล่าวถึงพระมหากษัตริย์ในทางไม่สมควรอยู่ด้วย จึงเกรงว่าหากให้ทนายจำเลยถ่ายสำเนาจะมีความเสี่ยงที่ข้อความดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ต่อออกไป และอาจเข้าลักษณะการ "ไขข่าว" ทำให้ทนายความมีความผิดไปด้วย จึงยังขอไม่ให้คัดสำเนาให้ชั้นนี้ หากหลังการฟังคำพิพากษาแล้วทนายความต้องการจะได้หลักฐานเพื่อประกอบการอุทธรณ์ก็ให้มาขอตรวจสำนวนที่ศาลภายหลังได้

ปฏิกริยาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวที่ศาลมีต่อการพิจารณาคดีนี้ ซึ่งคดีข้อหามาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ เป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวมากในสังคมไทย โดยเฉพาะภายใต้บรรยากาศการปกครองประเทศของรัฐบาล คสช. ที่มีการจับกุมและดำเนินคดีผู้คนด้วยข้อหานี้จำนวนมาก

ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังเปิดเผยด้วยว่า ในระหว่างการสืบพยานปากพนักงานสอบสวน ศาลได้ถามพยานเองว่า คดีนี้ได้พิสูจน์เรื่องหมายเลขไอพีแอดเดรสจนเชื่อมโยงมาถึงตัวจำเลยอย่างไร เมื่อพนักงานสอบสวนตอบคำถามไม่ได้ ศาลได้สั่งพักการพิจารณาคดีประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้พยานทบทวนเอกสารและลำดับเหตุการณ์การสืบสวนสอบสวนคดีนี้ใหม่อีกครั้ง เพราะคดีนี้เป็นคดีสำคัญ แต่แม้จะพักการพิจารณาให้พยานทบทวนข้อเท็จจริงแล้ว พยานก็ยังเบิกความว่า ไม่มีการตรวจสอบหมายเลขไอพีแอดเดสจนสามารถพิสูจน์มาถึงตัวจำเลยได้