วันอังคาร, กรกฎาคม 05, 2559

จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.เชื่อปิดพีซทีวีเป็นสิ่งเดียวกับอุ้มประชามติผ่านร่างรธน.





https://www.facebook.com/Jatuporn.UDD/videos/878399992272096/
.....

ที่มา FB

Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์






ประธาน นปช. เชื่อปิดพีซทีวีเป็นสิ่งเดียวกับอุ้มประชามติผ่านร่างรธน. ชี้การเป็นปากเสียงฝ่ายเห็นต่างเป็นชะตากรรมของบ้านเมือง เหตุฝ่ายรับชี้นำด้านดีฝ่ายเดียวได้สะดวก ลั่นรธน.ปราบโกงไม่มีจริง แต่อ้างปราบโกงเพื่อจะโกงเป็นสัจธรรมอำนาจเผด็จการ หวังประชาชนจะใช้สิทธิ์ถล่มทลาย สั่งสอนคนลุแก่อำนาจ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการเฟซบุ๊กไลฟ์ เมื่อ 4 ก.ค.ว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) สั่งพักใช้ใบอนุญาตสถานีพีซทีวี 30 วันนั้น เป็นเรื่องเดียวกับการทำประชามติในวันที่ 7 ส.ค.นี้

สถานีพีซที่วีจะถูกปิดเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. ไปถึงหลังวันที่ 10 ส.ค. จึงจะกลับมาเปิดอีกครั้ง เท่ากับผ่านการทำประชามติวันที่ 7 ส.ค.ไปแล้ว จึงออกอากาศได้ จึงเป็นชะตากรรมของสถานีพีซทีวีที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของฝ่ายเห็นต่างกับร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กลไกรัฐไปชี้แจงด้านดีของร่างรัฐธรรมนูญจึงทำงานได้สะดวกขึ้น

ข้อหาที่อ้างว่า ขัดคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 97/2557 และ103/2557 นั้น พวกตนไม่เข้าข่ายฝ่าฝืน เพราะการแสดงความเห็นกรณีปรับทัศนคติให้เข้าหาชาติบ้านเมือง ปัญหาอุทยานราชภักดิ์ และบริบทการเมืองด้านอื่น ไม่เข้าเนื้อหาต้องห้ามไม่ให้ใช้ข้อมูลสร้างความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร

นายจตุพร กล่าวว่า ในอนาคตชีวิตและอิสรภาพของพวกตนจะเหลืออีกกี่วันก็ตาม แต่ได้สละให้กับการต่อสู้ของประชาชนแล้ว และไม่เชื่อว่า รัฐธรรมนูญปราบโกงของเผด็จการไม่สามารถทำได้ นอกจากจะมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยแท้จริงเท่านั้น ส่วนรัฐธรรมนูญปราบโกงของเผด็จการทำไม่ได้จริง นอกจากสร้างความโกงขึ้นมาใหม่ แล้วจัดการฝ่ายตรงข้าม เพื่อพวกตัวเองใช้วาทกรรมปราบโกงนำหน้าเพื่อจะได้โกงกันตามหลังนั่นเอง

ส่วนนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการตามกฎหมายโดยอ้างเหตุบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายจตุพร กล่าวว่า การกล่าวถึงบทบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญ ใน ม.98 ที่ระบุห้ามบุคคลใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และ ม.98 (11) บัญญัติว่า "เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง" แล้วตนยกกรณีการยุบพรรคไทยรักไทยจากข้อหา พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตกรรมการบริหารพรรคข้อหาว่าจ้างพรรคการเมืองเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2549 และกรณีนี้เป็นการออกกฎหมายย้อนหลังตัดสิทธิ์ทางการเมืองกับกรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คนนาน 5 ปี และสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง อัยการไม่ยื่นศาลฎีกา คดีจึงยุติ พล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่มีความผิด

ถ้อยคำข้อห้ามที่ว่า เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง ไม่ได้ตนคนเดียวสงสัย นายอุเทน ชาติภิญโญ ได้ตั้งข้อสังเกตหลายครั้ง และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังอธิบายชัด ถ้าสงสัยให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่กล่าวอ้างของ กรธ. ยังเทียบได้กับรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่นายจรัล ภักดีธนากุล พูดชัดว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 สามารถแก้ไขได้ แต่เมื่อยื่นแก้ไขเพื่อให้มี สสร. ปรากฏว่า สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถลงมติในวาระ 3 ได้

ดังนั้น ถ้านายชาติชาย การันติว่า ข้อห้ามตาม ม. 98 (11) ว่า คนบ้านเลขที่ 111 ลงสมัครรับเลือกตั้งได้จะเป็นบรรทัดฐานหรือไม่ ดังนั้น ตนไม่ได้วิตกว่า บิดเบือน เพราะถ้อยคำกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง แต่การยุบพรรคที่เกิดขึ้นมาจากการทำผิดคนเดียวแต่ยุบทั้งพรรค เพราะกล่าวหาเป็นการกระทำผิดทั้งพรรคมาแล้ว

นายจตุพร กล่าวว่า การทำรายการเฟซบุ๊กไลฟ์ โดยเชื่อว่า รัฐธรรมนูญจะปราบโกงได้คนคนยังโกงอยู่ โดยเฉพาะคนมีหน้าที่ปราบโกงที่ยังเลือกหน้าตากันชี้ความผิด แต่ความเห็นของตนนั้น ฝ่ายไหนก็ตามไม่สิทธิ์โกงประเทศไทย เพียงแต่คนมีอำนาจปราบโกงอย่าเลือกปฏิบัติ

การยกรัฐธรรมนูญปราบโกงเป็นเพียงวาทกรรม แต่การตั้งศูนย์รักษาความสงบการทำประชามติทั่วประเทศเป็นการบูรณาการยกทั้งจังหวัดมาสร้างความอบอุ่นใจกับคนไปทำหน้าที่ชี้แจงด้านดีรัฐธรรมนูญฝ่ายเดียว และป้องกันการโกง แต่จะไปปราบโกงใคร เมื่อกลไกทุกอย่างอยู่ในอำนาจของใคร ทั้งหมดเป็นปลาในหนองเดียวกัน ไม่มีคนนอก แล้วพื้นที่คนเห็นต่างถูกปิด จะเปิดอีกครั้งหลังเสร็จการทำประชามติแล้ว

"ผมจึงเห็นว่า นอกจากไม่ปราบโกงแล้ว ยังส่อว่าโกงตั้งแต่ยังไม่ทันได้ปราบโกง ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่อ้างว่า ปราบโกงต้องแสดงให้ประจักษ์ การไม่เสมอภาคก็คือ การโกง การเอารัดเอาเปรียบก็คือ การโกง การปิดหูปิดปากก็คือ การโกง ฉะนั้นจึงโกงกันตั้งแต่วันลงประชามติแล้ว จึงไม่ได้การทำประชามติ แต่เป็นการมัดมือชก ใครที่ลุแก่อำนาจนี้ ไม่มีวันชนะประชาชนได้"

นายจตุพร กล่าวว่า คำว่าปราบโกงคนต้องเห็นในทางปฏิบัติ แต่ถ้าต้องการโกงเพื่อปราบโกงไม่มีอยู่จริง เพราะความสุจริตเท่านั้นจึงจะปราบโกงได้ ตนเชื่อว่า ผลลัพธ์วันที่ 7 สิงหา ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะสั่งสอนคนที่ลุแก่อำนาจ ขอเชิญชวนประชาชนมาใช้สิทธิ์ให้มากกว่าประเทศพม่า แล้วผู้ลุแกอำนาจจะได้รู้จักประชาชน
.....





จตุพรเดือด ! ลุแก่อำนาจปิดพีซ
จงใจผุดแตกแยกราชอาณาจักร


จตุพรลั่น ปิดพีซทีวีได้สร้างความแตกแยกในราชอาณาจักรแล้ว แฉเจ้ากรมสื่อสาร คสช.ออกหน้าสั่ง กสท.ลุย ให้ออกคำสั่งปิด มอบให้ทหารถือคำสั่งมาปิดลุแก่อำนาจ เปรย “เมื่อหวังจะชนะ แต่จะได้แพ้ยับเยิน”

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกรายการพิเศษที่สถานีพีซทีวีเมื่อคืนวันที่ 3 ก.ค. โดยระบุว่า การสั่งปิดพีซทีวีในวันพรุ่งนี้ (4 ก.ค.)เป็นการสร้างความแตกแยกในราชอาณาจักรอย่างแท้จริง เพราะจะทำให้ประชาชนประทุอารมณ์ไม่พอใจขึ้นมากกว่าการสั่งปิดครั้งที่แล้วเมื่อ 30 เม.ย. 2558

ข้อหาที่จะมาใช้ปิดพีซทีวี คณะอนุกรรมการด้านเนื้อหารายการและผังรายการอ้างว่า ฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ตามข้อ 3 (5) ที่ระบุห้ามนำเสนอเนื้อหาที่เป็นข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร

นายจตุพร กล่าวว่า มี 3 รายการที่ถูกอ้างว่าเป็นเหตุในการปิดพีซทีวีนั้น ออกอากาศในเดือนมีนาคม 2559 ในวันที่ 11 21 24 และ 28 ตนจึงอยากรู้ว่า ใครเอาเนื้อหาไปสร้างความแตกแยกกันบ้าง มีการเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเลย แล้วอ้างข้อหาสร้างความแตกแยกได้อย่างไรกัน

ตนเจอกรณีรายงานข่าวการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ แต่สิ่งที่กล่าวในรายการนั้น เป็นการระหว่างพูดแถลงข่าวของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ที่แถลงผลการตรวจสอบว่า ไม่มีทุจริต ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส แต่ปัญหาที่ตนนำมารายงานนั้น เป็นความจริง ถ้าไม่จริงจะปิดอุทยานราชภักดิ์เพื่อซ่อมแซมทำไม

นายจตุพร กล่าวว่า พล.อ.สุชาติ ผองพุฒิ หัวหน้าคณะทำงานสื่อของ คสช. เอาอะไรมาเป็นหลักพิจารณา เมื่อกฤษฎีกาแนะให้ไปยื่นเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพราะเรื่องคำสั่งทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมายกรณีการปิดพีซทีวีครั้งก่อนหน้านั้น ยังอยู่ในการวินิจฉัยของศาลปกครอง แต่ระหว่างทางยังเอาเรื่องใหม่ไปยื่นยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็ไม่เป็นผล

ตนเชื่อว่า ถ้าคิดว่า ลุแก่อำนาจอยากทำก็ทำไป เมื่อเรื่องเกิดตั้งแต่เดือนมีนาคม ผ่านมา 4 เดือนยังไม่มีใครไปสร้างความแตกแยกในราชอาณาจักรเลย แต่ความบ้า ปัญญาอ่อน อยากทำอะไรก็ทำ ตนจึงไม่รู้จะสู้อย่างไรแล้วแล้ว เพราะวันพรุ่งนี้ (4 ก.ค.) เขาจะส่งทหารพร้อมตำรวจมาปิดพีซเลย โดยไม่ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มาเอง

“พรุ่งนี้(4 ก.ค.) จะไปยื่นหนังสือคัดค้านที่ กสท. หนังสือที่ไปยื่นมีครบถ้วนทั้งเหตุผล ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย แต่เรื่องการปิดพีซนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องอารมณ์ล้วนๆ ดังนั้น การปิดพีฐทีวีคือการสร้างความแตกแยกในราชอาณาจักร ท่านได้สร้างความสับสนในราชอาณาจักร เป็นการลุแกอำนาจ เป็นพวกปลุกปั่น ยั่วยุด้วยตัวเอง แต่ถ้าว่า คิดดีแล้วว่า ปิดแล้วจะชนะ คุณจะแพ้อย่างสมเพจที่สุด”

นายจตุพร กล่าวว่า จะต่อสู้ทุกวิถีทาง โดยจะจัดระบบการสื่อสารทางโซเชียล ตนไม่ได้มาขออะไร กสท. แต่ขอความเป็นธรรมให้พีซทีวี เมื่อครั้งก่อนตนยอมถอยมาจัดที่ยูทูป แต่ กสท. กลับไปยื่นอุทธรณ์ให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยไม่ต้องรอไม่รอคำสั่งวินิจฉัยของศาลปกครองก่อน แล้วมาวันนี้จะไม่ฟังคำสั่งศาลแล้ว จะเอาแบบนี้หรือ ตนอยากจะบอกว่าต้องการมีเรื่องหรือ ผู้มีอำนาจกำลังทำอะไรอยู่กัน ทำไมกำลังสร้างความแตกแยกในสังคมขึ้นอีก

นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. กล่าวว่า กรณีปิดพีซทีวีโดยเชิญฝ่ายต่างมาให้ข้อเท็จจริง เพราะพยายามทำให้เกิดความชอบธรรม การเชิญฝ่ายกฎหมาย คสช. ฝ่ายกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) และผู้แทนกฤษฎีกา มาขอความเห็น แต่ตัวแทนกฤษฎีกา บอกว่า อาจผิดเงื่อนไขศาลปกครองให้ความคุ้มครองชั่วคราวนั้น ถ้าผิดก็ต้องไปยื่นต่อศาลให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่อาจจะคิดว่า ทำอะไรก็ได้หรือไม่ ส่วนตัวแทน กสม.บอกว่า ถ้าเรื่องถึงศาล กสม.จะล้วงลูกไม่ได้ ดังนั้น จึงอยากให้ ว่ากันตามระบบของศาลปกครอง