วันเสาร์, กรกฎาคม 30, 2559

ปีแห่งการลงทุนส่อแววล่ม.. สองปีที่ผ่านมา การส่งออกไม่เคยได้ลืมตาอ้าปาก ขนาดธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟยังแสดงความเป็นห่วงที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก





พูดให้เพราะมีสร้อยอย่างประยุทธ์ว่า ต้องบอก ‘ห่าเอ๊ยค้า-คร้าบ’ (เสียงสูง) ปีนี้เข้าไป ๘ เดือนแล้วยังไม่ได้ลืมตาอ้าปาก

ทั้งจุลภาค-มหภาคน่ะ เศรษฐกิจไทย

แบ๊งค์ชาติเพิ่งแถลงประมาณการจีดีพีจะอยู่ที่ ๓.๑ เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสสุดท้ายของปี ที่ก็เอาแน่ไม่ได้ เพราะปัจจัยองค์ประกอบอื่นไม่ได้ไปในทางเดียวกัน

“การส่งออกไตรมาสนี้ติดลบต่อเนื่องที่ ๓.๑% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และจากไตรมาสแรกที่ติดลบ ๑.๔%” โปรดสังเกตว่าการติดลบเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากเมื่อต้นปี และ

“เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ ๖” นั่นคือสองปีที่ผ่านมา การส่งออกไม่เคยได้ลืมตาอ้าปาก

ถึงกระนั้น น.ส.พรเพ็ญ สดศรีชัย ผอ. เศรษฐกิจมหภาค ก็มีแต่ภาพสวยมารายงานว่า จีดีพี หรือการขยายตัวเศรษฐกิจ ‘จะ’ ดีขึ้น การใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐมีการอัดฉีดหนักหนักกว่าเก่า (ขึ้นเงินเดือนทหาร) กับการท่องเที่ยวขยายตัว เพราะกำลังจะเข้าไฮซีซั่น

(http://www.matichon.co.th/news/229567)

ขณะที่จากการวิเคราะห์ประเมินโดยภาคเอกชนกลับเห็นว่า “ปีแห่งการลงทุนส่อแววล่ม...เพราะเอกชนส่วนใหญ่ยังคงเน้นเก็บเงินสด ไม่ยอมลงทุนซะอย่างนั้น”

รายงาน ispacethailand.org อ้างสำนักวิจัยทิสโก้ “ในช่วงหลังจากนี้ ภาคธุรกิจยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจที่อาจผันผวน ดังนั้นการเก็บเงินสดไว้น่าจะเหมาะสมกว่า





ดูเหมือนว่า ‘๒๕๕๙ ปีแห่งการลงทุน’ ที่นายสมคิด (จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คสช.) วางนโยบายไว้จะไม่เป็นไปตามคาดเสียแล้ว”

(http://www.ispacethailand.org/%E0%B8%81%E0%B8%B2%…/9159.html)

รวมความว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อ้างตลาดโลกยังชะลอตัวอยู่ ทำให้ไม่มีการลงทุนที่จะกระตุ้นวัฏจักรเศรษฐกิจ ไม่มีการจ้างงาน ไม่มีการส่งออก ในระดับที่ทำให้ประเทศอยู่ในสภาพอูฟูได้ เป็นแนวโน้มชี้ว่ากูรูเศรษฐกิจคนที่สองของ คสช. ส่อท่าล้มเหลวอีก

ทำให้สิ่งที่ รมว.พลังงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ออกมาสับแหลกนายสมคิด “หากท่านจะได้เปิดหูเปิดตารับฟังความเดือดร้อนของประชาชนที่ลำบากกันอย่างแสนสาหัสในขณะนี้ ท่านคงไม่กล้าพูดแบบนี้”

แบบที่อ้างว่าทำงานมาสิบเดือน “มีผลงานมากว่ารัฐบาลที่ผ่านมา ๕ ปี”





นายพิชัยชี้เรื่องจีดีพีแย้งประมาณการของแบ๊งค์ชาติเสียด้วยว่า “ปรากฏว่าจีดีพี ในสิบเดือนที่ผ่านมาน่าจะอยู่ประมาณ ๒% กว่าเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมาก

ขนาดธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟยังแสดงความเป็นห่วงที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก”

รวมทั้ง “อยากถามว่าที่สภาพัฒน์ฯ บอกจะโตปีละ ๕% ไปอีก ๕ ปีข้างหน้า จะโตจากภาคส่วนไหน เพราะยังไม่เห็น ซึ่งหากไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริหารงานของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล”

(http://www.matichon.co.th/news/228510)

ปะเหมาะพอดีกับที่โฆษกกลาโหมก็แถลงเหมือนกันว่าจะทำการปฏิรูปด้านกำลังพลทหาร ปรับลดจำนวนนายพลลงไปครึ่งหนึ่ง ทำให้นึกถึงสมัยที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ์เป็น ผบ.ทบ. มีไอเดียกองทัพ ‘จิ๋วแต่แจ๋ว’ ผุดขึ้นมาให้ซึ้งกันแล้วก็ซึมหายไป

หรือนี่ต้องอาศัยฝีมือ คสช. ‘ปฏิรูป’ ถึงจะสำเร็จ ที่ไหนได้ ลองไปดูรายละเอียดกัน





ข่าวไทยโพสต์ว่ากลาโหมมีแผนปฏิรูป ลดจำนวน ‘นายพลตบยุง’ นายทหารระดับพลตรี พลโท พลเอก ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ จาก ๗๖๘ นายเหลือ ๓๘๔ นาย และ

“นายทหารชั้นยศพันเอกพิเศษในตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการ (นปก.) ที่มีอยู่ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ จำนวน ๒,๖๙๘ คน จะต้องลดลงในปี ๒๕๗๑ เหลือ ๑,๓๔๙ คน”

นอกนั้น “ยังมีการจัดทําระบบข้าราชการพลเรือนกลาโหม ซึ่งเป็นระบบงานกําลังพลที่สามารถจําแนกกําลังพลตามลักษณะงานได้อย่างเหมาะสม กล่าวคืองานใดที่เป็นภารกิจทางทหาร ทหารเป็นผู้ปฏิบัติ งานใดที่เป็นงานสนับสนุนภารกิจทางทหาร ก็มอบให้ข้าราชการพลเรือนกลาโหมเป็นผู้ปฏิบัติ

ซึ่งจะส่งผลให้กําลังพลในสังกัดกระทรวงกลาโหมมีความเป็นมืออาชีพ และจะประหยัดงบประมาณในด้านกําลังพลในอนาคตได้”

ฟังดูดีนะ คสช. ซะอย่าง ทำอะไรต้องดูดี แต่บางที่ถ้าได้ดูละเอียดอาจไม่เหมือนภาพที่สร้างให้ปรากฏ นี่ต้องขอยืมถ้อยของอธึกกิต แสวงสุข มาแจง

เขาว่า “อย่างฮา” เพราะนายพลไทยมีจำนวน ๑,๕๐๐ ถึง ๑,๖๐๐ คน (อจ.กานดา นาคน้อย เคยเขียนลงประชาไทว่ามากเท่ากับสหรัฐนั่นเชียว) จำนวนที่ลดนี่เป็น “พวกนั่งโต๊ะตบยุุง หิ้วกระเป๋าใบเดียวไปทำงานนั่นแหละ

ส่วนที่เหลือทั่นไม่ได้บอกว่าจะลด (แถมยังเพิ่มได้อีกต่างหาก เช่น คสช.เพิ่มมณฑลทหารบก ก็เพิ่มนายพล ปรับโครงสร้างเฮี่ยไร ก็มีนายพลเพิ่มได้หมด)”

มิหนำซ้ำโครงการปฏิรูปนี่อ้างว่าเริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ และจะไปเสร็จสิ้นในปี ๒๕๗๑ “ใช้เวลา ๒๐ ปีลดได้ครึ่งหนึ่ง” อย่างที่อธึกกิตว่า เพราะเขาลดแค่ปีละ ๒ เปอร์เซ็นต์ครึ่ง ค่อยๆ บรรจงทำ

“ต้องรอให้เตรียมทหาร และ ร.ร.นายร้อยทุกเหล่าลดนักเรียนลง (จบมาแล้วต้องได้เป็นนายพล เราจะทำตามสัญญา)” อีกละ

เป็นอันว่าฝันเติ่งไปเถอะเรื่องจะหวังให้ฝ่ายทหารเพลามือจับจ่ายงบประมาณลงบ้างน่ะ

ยิ่งถ้าประชาชนไปออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับให้ คสช.เป็นใหญ่ตลอดไปกัน ๘๗.๘ เปอร์เซ็นต์อย่างที่กรุงเทพฯโพลอ้าง ซ้ำ ๔๘.๔ เปอร์เซ็นต์ ‘เห็นชอบ’ ด้วยละก็

ไตรมาสที่สามชาติหน้า เศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ได้ลืมตาอ้าปาก