วันพุธ, มิถุนายน 22, 2559

กปปส. ยุโรป ที่รัก

จรรยา ยิ้มประเสริฐ

แม้ว่าในขณะนี้ฝ่ายข้อมูลของงานสัมมนาวิชาการ "ทหารกับการลงประชามติ" จะยังไม่สามารถถอดเทปและแปลเอกสารงานสัมมนานี้ได้หมด แต่ผมก็มีเรื่องที่อยากเขียนถึงงานสัมมนาครั้งนี้ ที่มหาวิทยาลัยบอนน์ เยอรมัน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อมีแนวร่วมคนรักเจ้าประมาณ 20 คน เข้าร่วมฟังการสัมมนาด้วย ตั้งแต่เช้า ทั้งในเวทีใหญ่และในเกือบทุกเวทีย่อย

ก่อนอื่นผมเสนอว่าเราหัดมาเริ่มสื่อสารกับสังคมกันอย่างไม่ปิดตาข้างเดียวกันดีกว่านะ เพราะการพบปะหน้าตากันของพวกเราที่ยุโรปอาจจะเป็นจุดเริ่มที่ความขัดแย้งระหว่างค่ายสีการเมืองในประเทศไทย อาจจะบรรเทาเบาบางลงไปก็ได้ ผมจึงขอเขียนถึงเหตุการณ์ครั้งนี้จากมุมมองที่ผมรับรู้และประสบการณ์ตรงดังต่อไปนี้

ประเด็นแรก จากสื่อ 'แนวหน้า' ทำให้เราคนไทยได้เห็นหน้าค่าตาชาวกปปส. ที่ยุโรป แต่การเป็นสื่อ สื่อแนวหน้าก็สมควรถูกประณาม ที่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยที่จะเสาะแสวงหาข้อมูลอีกด้าน เช่นที่สื่อที่มีจรรยาบรรณสมควรจะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรเจ้าภาพที่จัดงานนี้ คือ ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของมหาวิทยาลัยบอนน์ และมูลนิธิเอเชียเฮ้าท์ ที่เป็นที่รู้จักมาหลายสิบปีทั่วโลก ในฐานะองค์กรศึกษาและรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย จึงเป็นสองสถาบันฯ หลักในประเทศเยอรมัน ที่ถือได้ว่ามีความเข้าใจการเมืองในภูมิภาคเอเชียอย่างลึกซึ้ง แต่สื่อแนวหน้ากลับไม่ให้ความเคารพหรือปรับท่วงทำนองภาษาที่แสดงความเคารพองค์กรเจ้าภาพแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังทำหน้าที่โหมกระพือปั่นกระแสความเกลียดชั่งยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการย้ำเรื่อง "จาบจ้วงสถาบันฯ" กันถึงสองถึงสามครั้งในเนื้อข่าวเพียงไม่กี่ย่อหน้า

ประเด็นที่สอง สื่อแนวหน้าไม่ใส่ใจที่จะลงรายละเอียดว่า สถานฑูตไทยที่ประเทศเยอรมัน เป็นคนขออนุญาตให้ชาว กปปส. มายืนประท้วงคนเสื้อแดงที่หน้ามหาวิทยาลัยบอนน์เป็นเวลาสองชั่วโมง จุดประสงค์ของชาว กปปส. ไม่ใช่มาบอกเล่ากับคนเยอรมันว่าพวกเขาสนับสนุนเผด็จการ คสช. แต่ เพื่อมาถือป้ายว่าตัวเองสนับสนุนเผด็จการ โชว์ให้คนไทยเสื้อแดงเท่านั้นได้เห็น เพราะรู้ว่าถ้าเดินขบวนประท้วงกลางเมืองโชว์ป้ายเราสนับสนุนเผด็จการทหาร ก็คงจะถูกคนเยอรมันโห่ไล่ ซึ่งต่างจากเจตนารมณ์ของการขออนุญาตเดินขบวนของคนเสื้อแดงในยุโรป มีเส้นทางเดินที่ขออนุญาตไว้ชัดเจนจากทางตำรวจที่บอนน์ โดยจะออกเดินจากหน้ามหาวิทยาลัยบอนน์ ผ่านย่านการค้ากลางเมือง แล้วไปสิ้นสุดที่สถานีรถไฟ เป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

เนื่องจากกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมีจำนวนมากกว่าอย่างชัดเจน ถึงร่วม 200 คน ในขณะที่ชาวกปปส. มีประมาณ 30 คน ตำรวจจึงไม่ต้องการให้มีปฏิกริยายั่วยุเกิดขึ้นได้ จึงได้ขอให้ชาว กปปส. ย้ายที่ยืนประท้วงคนเสื้อแดงออกไปซะไกล จนคนเสื้อแดงไม่เห็นเลยว่ามีชาว กปปส. มาถือป้ายประท้วงพวกเขา นอกจากได้ยินคำบอกต่อกันมาจากทีมงาน ที่ไปสังเกตการเจรจาระหว่างตำรวจและชาว กปปส.

มันเป็นเรื่องการขอร้องกันดีๆ จริงๆ ครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ที่ชาว กปปส. ที่ใหญ่คับบ้านคับเมือง และคับกรมตำรวจในประเทศไทย กลับอยู่ในปฏิกริยาเรียบร้อยอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อต้องเจรจากับตำรวจเพียงคนเดียวที่ไม่ได้พกพาอาวุธอะไรที่เมืองบอนน์ เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้ากฎหมายไทยเป็นกฎหมาย และกระบวนการนิติธรรมไทยเป็นกระบวนการนิติธรรม โดยที่ไม่มีการประนีประนอมกับชาวรอยัลลิสต์ที่เมืองไทย เหตุการณ์รัฐประหาร 2549 และรัฐประหาร 2557 ก็คงอาจจะไม่เกิดขึ้น และพวกคนที่ถูกตราหน้าว่า "พวกหนีดคีมาตรา 112” ก็อาจจะมีชีวิตปกติที่เมืองไทย และเข้าร่วมการสัมมนาเช่นที่มหาวิทยาลัยบอนน์จัดได้อย่างสบายใจที่ประเทศไทย

ระเด็นที่สาม ชาวกปปส. มีความกล้าหาญในระดับหนึ่งทีเดียว ที่แม้จะรู้ว่าเวทีนี้เป็นเวทีวิชาการที่จะมีมวลชนคนเสื้อแดงจากยุโรปมาเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก แต่ก็กล้าที่จะมายังงาน พร้อมผูกโบว์พาดหัวลายธงชาติสัญลักษณ์ กปปส. มากันก็ตาม และพวกท่านก็มีความเป็นสุภาพชนพอสมควร ขอบคุณครับ ซึ่งผมก็เห็นการปฏิบัติต่อชาว กปปส. ด้วยความเคารพในสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของทั้งผู้ดำเนินรายการในเวที และผู้เข้าร่วมสัมมนาชาวเสื้อแดงเช่นกัน แม้ว่าจะมีท่าทีไม่เป็นมิตรกันอยู่บ้างเมื่อเห็นหน้ากันตอนแรก แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เมื่อมองจากมุมมองทางประวัติศาสตร์การยืนอยู่ขั้วตรงข้ามการเมืองกันมาอย่างยาวนานนับสิบปีของกลุ่มคนสองค่ายการเมืองเหลืองแดงนี้ ในทุกเวทีที่พวกท่านได้เข้าร่วม ท่านก็ได้ใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ จนบางเวทีเนื่องด้วยเวลาการเสวนาจำกัด ชาว กปปส. ก็ได้ผูกขาดช่วงสนทนาแลกเปลี่ยนไปในการตอบคำถามของชาว กปปส. จนหมดเวลา

ผมก็หวังจริงๆ นะครับว่า หลังจากที่พวกท่านเฝ้าถามคำถามชุดเดียวกันนี้มาตลอดสิบปี อาทิ ทำไมต้องวิจารณ์สถาบันกษัตริย์? ประเทศอื่นก็มีกฎหมายหมิ่นฯ ที่จับคนเข้าคุกได้ แล้วมันต่างจากมาตรา112 อย่างไร? ผมก็หวังว่าพวกท่านจะได้ความกระจ่างไปบ้างจากเวทีงานสัมมนาที่บอนน์ครั้งนี้กันบ้างนะครับ

อ้อ! ผมดีใจมากจริงๆ ที่มีคำถามเปิดจากฝั่งท่านถามมาว่า จะปฏิรูปมาตรา 112 ได้อย่างไรบ้าง?

ประเด็นที่สี่ ผมคิดว่าลึกๆ พวกท่านก็รู้ดีว่าการดันทุรังต้องหนุน คสช. ด้วยข้ออ้างว่าเพราะทหารเป็นของพระราชานั้น มันฟังไม่ขึ้น ไม่ใช่เฉพาะแม้แต่ในหมู่คนไทย แต่แม้ในหมู่คนต่างชาติ ผมสังเกตุเห็นว่าพวกท่านจะถือป้าย "เราสนับสนุน คสช." กันมาด้วย แต่ก็ทำกันมาแบบกระมิดกระเมี้ยน และผมก็ไม่เห็นรูปท่านถือโชว์ป้ายนี้ในสื่อแนวหน้าที่เผยแพร่ข่าวของท่านแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่ขบวนเสื้อแดงถือป้ายกันพรึบพับ และได้รับการนำขบวนจากอาจารย์มหาวิทยาลัยบอนน์เจ้าภาพ ที่ช่วยนำปราศรัยเป็นภาษาเยอรมันเพื่อสื่อสารกับคนเยอรมัน ตลอดเส้นทาง ขบวนของคนเสื้อแดงพากันตะโกน "เราต้องการประชาธิไตย" “เราไม่เอาเผด็จการทหาร" ทั้งภาษาไทยและภาษาเยอรมัน ตลอดการเดินร่วมชั่วโมง ผ่านคนเยอรมันมากมายที่ยืนดูขบวนของพวกเราด้วยความใส่ใจ

ประเด็นสุดท้าย (เอาแค่นี้ก่อน) ผมย้ำเสมอว่า ประเทศไทยมี 65 ล้านคน 40 กว่าชาติพันธุ์และภาษา และนับสิบศาสนา มีคนหลากหลายเพศ ทัศนคติแบบ "ไม่รัก...” ต้องไปอยู่ที่อื่น หรือไปตายที่ไหนก็ไปนั้น ไม่อาจนำมาซึ่งสันติสุขสู่ประเทศไทยได้ และในท้ายที่สุด ไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงหรือคนชายขอบเท่านั้นที่ต้องแบกรับผลกระทบ แต่พวกท่านชาวกปปส. เองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้เช่นกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านที่อยู่ในต่างแดนในยุโรปเช่นนี้ ก็คงจะต้องทำหน้าที่เป็นธนาคารให้กับครอบครัวในเมืองไทยกันจนคางเหลือง เพราะไม่อาจปล่อยวางให้ครอบครัวในเมืองไทยต้องทุกข์ทนกับความยากลำบากเดือดร้อนได้ตามลำพัง

ซึ่งแนวโน้มและเค้ารางแห่งหายนะในประเทศไทย ผู้คนที่ศึกษาเรื่องการเมืองไทย ต่างก็สามารถคาดการณ์เรื่องวิกฤตต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยกันได้ทั้งนั้น พวกเขาแม้จะเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่ต่างประเทศ ก็ยังไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้ประเทศไทยต้องเผชิญหายนะเช่นนั้น จึงได้เปิดพื้นที่แห่งมหาวิทยาลัยให้ใช้เป็นพื้นที่แห่งการพูดคุยแลกเปลี่ยน ถกเถียง จากทุกกลุ่มค่ายการเมือง เพื่อหวังว่ามันจะช่วยชี้ทางออกจากการเมืองเขาวงกตของประเทศไทยได้

ด้วยประการฉะนี้ ผมจึงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยลัยบอนน์ มูลนิธิเอเชียเฮาท์ และกลุ่มนักกิจกรรมชาวไทยที่เยอรมันที่ร่วมกันจัดงานที่บอนน์ออกมาจนลุล่วงไปด้วยดี ขอบคุณครับ

เราไม่ต้องรักกันก็ได้ เราเกลียดกันก็ได้ แต่เราคงต้องรู้จักอดทนอดกลั้นและอยู่ร่วมกันไปอย่างสันติให้มากที่สุด นะครับ!!!