วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 02, 2559

เกาะเต่ากลับมาหลอนยุติธรรมไทย เอกสารอุทธรณ์สองหม่องต้องคำพิพากษาประหาร ยันชัดกระบวนพิจารณาบกพร่อง

คดีฆาตกรรมที่เกาะเต่าเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว กลับมาเป็นประเด็นให้นานาชาติวิพากษ์วิจารณ์วิธีพิจารณาคดีของศาลไทยต่อสองผู้ต้องหาหนุ่มแรงงานพม่า เมื่อปรากฏบทความบนเว็บการยุติธรรม ซึ่งเขียนโดย แนด เบิร์กแมน หนึ่งในทีมทนายของผู้ต้องคำพิพากษา ให้รายละเอียดข้อต่อสู้ในคำอุทธรณ์


ชี้ให้เห็นว่าหากกระบวนการพิจารณาคดีกระทำอย่างถูกต้องตามระเบียบวิธีแล้วละก็ คดีนี้ไม่น่าที่จะมีการประทับรับฟ้องด้วยซ้ำไป

“รอยแผลลึกภายในช่องอวัยวะเพศของเหยื่อฆาตกรรม ตามผลการชันสูตรของผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษถูกระบุว่า เกิดจากมีดกรีดในการชันสูตรศพของเจ้าหน้าที่ไทย ไม่ใช่เป็นผลของการข่มเหงทำร้ายทางเพศ” ดังที่ศาลไทยวินิจฉัยแต่อย่างใดไม่

การพิจารณาคดีฆาตกรรม น.ส.แฮนนาห์ วิทเตอริดจ์ และนายเดวิด มิลเลอร์ สองหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปีที่แล้วเป็นที่วิจารณ์และจับตาโดยสื่อมวลชลตะวันตกอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่สื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่พากันนิ่งเฉยสงบเสงี่ยม

แม้ว่าทางการอังกฤษส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาสังเกตการณ์และตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ หากแต่ศาลไทยไม่ได้รับเอาการข้อมูลของอังกฤษมาใช้ รับฟังแต่หลักฐานข้อมูลของเจ้าหน้าที่ไทยที่ปรักปรำสองแรงงานชาวพม่าวัย ๒๒ ปี ทั้งที่ในตอนท้ายของการพิจารณาคดี ผู้ต้องหากลับคำให้การ อ้างว่าที่รับสารภาพไปก่อนหน้านั้นเพราะถูกเจ้าหน้าที่ไทยบังคับทรมาน

ดังรายละเอียดคำอุทธรณ์ ๑๙๘ หน้าตอนหนึ่งชี้ว่า “สองผู้ต้องหาให้การว่าถูกจับแก้ผ้าระหว่างการสอบสวน และถูกใช้กำลังทำร้าย รวมทั้ง และไม่จำเพาะแต่การต่อย ทรมานตรงอวัยวะเพศ ถูกเตะและเอาถุงคลุมหัว รอยแผลและฟกช้ำปรากฏชัดและยืนยันโดยนายแพทย์ไม่ต่ำกว่าสามคน”

“ระหว่างการสอบสวน ทางการตำรวจไทยจัดล่ามที่ตั้งคำถามต่อผู้ต้องหาอย่างข่มขู่ (มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่าล่ามปกติประจำศาลถูกผู้มีอิทธิพลท้องที่ก่อกวนก้าวร้าว) ล่ามคนดังกล่าวไม่สามารถอ่านภาษาเขียนไทยได้ด้วยซ้ำ” ข้อสำคัญ “ผู้ต้องหาไม่ได้รับการแจ้งข้อหาและสิทธิของพวกเขาในการสู้คดี ตามระเบียบวิธีพิจารณาความในกฎหมายไทยเองด้วย”

ข้ออุทธรณ์อันหนึ่งซึ่งทนายของสองหม่องยกมาต่อสู้ครั้งนี้ตั้งข้อสงสัยว่า “ทำไมผู้ต้องหาถูกจับกุมในคดีที่ไม่ได้เกี่ยวกับการฆาตกรรมนี้ แล้วกลับถูกตั้งข้อหาว่าฆ่าคนตายโดยไม่มีทนายเคียงข้างคอยรับทราบและแก้ต่าง แล้วทางการยังนำคำให้การมาใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองอีก

เช่นนี้จัดว่าปฏิบัติผิดระเบียบวิธีการพิจารณาคดีในกฎหหมายไทยเอง ที่ใช้เป็นข้ออ้างให้ยกฟ้องคดีได้”

ส่วนที่เกี่ยวกับดีเอ็นเอของสองผู้ต้องคำพิพากษาประหารชีวิตโดยศาลจังหวัดเกาะสมุย ที่อ้างว่าพบตรงกันกับดีเอ็นเอในช่องอวัยวะเพศเหยื่อเพศหญิงที่ตาย แต่ไม่พบเลยบนอาวุธจอบของกลางที่ใช้สังหารสองนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะใบหน้าฝ่ายหญิงเป็นแผลเหวอะนั้น

วิธีการเก็บดีเอ็นเอจากสองผู้ต้องหา ไม่ได้ผ่านการยินยอมของเจ้าตัว ไม่มีทนายรับรู้ ตำรวจอ้างต่อศาลว่าได้ส่งดีเอ็นเอไปอ่านผลที่สิงคโปร์ แต่ความจริงเป็นการอ่านผลเองโดยเจ้าหน้าที่ไทย ซึ่งใช้วิธีการจัดเก็บดีเอ็นเอไม่ต้องตามระเบียบสากล

รายงานผลชันสูตรศพมีเพียงสี่หน้าซึ่งเป็นการแสดงความเห็นของแพทย์ ไม่ใช่การอ่านผลโดยมีตัวเลขและภาพถ่ายทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ซ้ำร้ายแฟ้มรายงานผลดีเอ็นเอของผู้ต้องหาทั้งสองระบุชือของแต่ละคนไว้ล่วงหน้า อันเป็นวิธีการผิดระเบียบอย่างยิ่ง ผลการตรวจดีเอ็นเอต้องระบุแต่ตัวเลขประจำแฟ้มไม่ให้รู้ว่าเป็นของใครเพื่อป้องกันการบิดเบือน

เกี่ยวกับข้อหาอันนำไปสู่การพิพากษาประหารชีวิตแรงงานพม่าทั้งสอง ที่ว่าได้เห็นแฮนนาห์และเดวิดร่วมเพศกันอยู่ที่ชายหาดแล้วเกิดอารมณ์ใคร่ จึงเข้าไปข่มขืนแฮนนาห์ เมื่อเธอขัดขืนจึงใช้จอบทำร้ายเสียชีวิต รวมทั้งเดวิดที่เข้าช่วยคนรักนั้น

หนังสืออุทธรณ์แย้งว่า “ไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่สนับสนุนว่าแฮนนาห์ถูกข่มขืน” ดีเอ็นเอที่พบภายในช่องเพศของเธอไม่ใช่ของผู้ต้องหาทั้งสอง แต่สำนวนฟ้องก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นของใคร รวมทั้งหลักฐานอีกหลายอย่างทีจะช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของสองหม่อง ทางการไทยฝ่ายโจทก์บกพร่อง (หรือละเลย) ที่จะนำเสนอ รวมทั้งรอยมือบนโทรศัพท์ของผู้ตายที่ไม่ใช่ของสองผู้ต้องหา

อย่างเช่นภาพจากกล้องโทรทัศน์ซีซีทีวีที่ท่าเรือขณะเรือแล่นออกจากท่า ซึ่งคำฟ้องอ้างว่าผู้ต้องหาหนีขึ้นเรือทันทีหลังจากฆาตกรรมสองหนุ่มสาวอังกฤษ ซึ่งในคลิปดูไม่รู้ว่ามีผู้ต้องหาอยู่หรือไม่ ศาลก็ไม่ได้ใช้ประกอบการพิจารณา

รวมทั้งประเด็นเส้นผมสีบลอนด์ในมือของผู้ตาย ที่ปรากฏอยู่ในสำนวนสอบสวนเบื้องต้นถูกตัดออกไป ศาลไม่ได้สั่งให้มีการพิสูจน์หรือสืบค้นว่าเป็นของใคร ทำให้ดูเหมือนว่าหลักฐานใดๆ ที่จะทำให้ผู้ต้องหาทั้งสองหลุดพ้นความผิด beyond reasonable doubt หรือนอกเหนือข้อกังขาอันสมเหตุผลใดๆ กลับไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในการพิจารณาคดีนี้

จนทำให้การพิพากษาประหารบุคคลทั้งสองเป็นที่ตั้งข้อสงสัยในประสิทธิภาพของระบบยุติธรรมไทยโดยหน่วยงานสิทธิมนุษยชนนานาชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะข้อครหาเกี่ยวกับน้องชายของผู้ทรงอิทธิพลท้องถิ่นซึ่งปรากฏชื่อในข่าวว่า ‘Mon’ ถูกควบคุมตัวหลังตำรวจทราบเหตุในฐานผู้ต้องสงสัย แล้วได้รับการปล่อยตัวไปโดยในคดีไม่มีการเอ่ยถึงอีกเลย

สิ่งเหล่านี้ทำให้การพิพากษาคดีฆาตกรรมเกาะเต่าถูกประท้วงจากญาติพี่น้องและผู้สนับสนุนความบริสุทธิ์ของไวเปียวและซอว์ลิน ว่าศาลไทยสั่งฆ่าแพะรับบาป ที่แม้นว่าเขาทั้งสองมีโอกาสอุทธรณ์ได้ ก็ยังต้องติดคุกรอการพิจารณาอีกอย่างน้อยเป็นปี