วันจันทร์, มิถุนายน 13, 2559

3คนทำประเทศเจ๊ง? ทำไง?คนจนจึงอยู่ได้




http://www.thairath.co.th/content/624869

“ทหาร...ทำรัฐประหารเพราะประเทศไม่เดิน รัฐประหารเสร็จ...ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดิน เพราะทหารไม่ได้เรียนมาว่า...ทำอย่างไร บริหารอย่างไร ประเทศจึงจะเดิน...ก็จะถามแต่ละกระทรวงว่ามีอะไรไหม..

คนที่ทำให้ประเทศเจ๊งได้มีอยู่ 3 คน หนึ่ง..‪#‎นายกรัฐมนตรี‬ ถ้าทำนโยบายไม่ได้เรื่อง สอง...‪#‎แม่ทัพบก‬ ถ้าประกาศสงครามแล้วไม่มีใครไปรบด้วย และสาม...‪#‎ผู้ว่าการแบงก์ชาติ‬ ถ้าพูดอะไรแล้วไม่มีใครเชื่อ .."

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล
อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ


Alongkorn Cheurkit

ooo


3คนทำประเทศเจ๊ง? ทำไง?คนจนจึงอยู่ได้





ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
25 พ.ค. 2559

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หรือ “หม่อมเต่า” เจ้าของหนังสือเล่มขลัง “สดุดี (คนอื่น)” เคยคุยเล่นๆกับเพื่อนว่า…คนที่ทำให้ประเทศเจ๊งได้มีอยู่ 3 คน หนึ่ง…“นายกรัฐมนตรี” ถ้าทำนโยบายไม่ได้เรื่อง

สอง…“แม่ทัพบก” ถ้าประกาศสงครามแล้วไม่มีใครไปรบด้วย และสาม…“ผู้ว่าการแบงก์ชาติ” ถ้าพูดอะไรแล้วไม่มีใครเชื่อ เอาเป็นว่า…ไม่มีการเห็นต่างในความสำคัญของผู้ว่าการแบงก์ชาติ

รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการเงิน การคลัง สถานะ ความมั่นคงเศรษฐกิจ มีเนื้อหามากมาย แถมด้วยรายละเอียดลึกเร้นที่คนนอกวงการยากที่จะรู้และเข้าใจได้ แต่คำบอกเล่าของ ม.ร.ว.จัตุมงคลในหนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญที่น่าสนใจเอาไว้ไม่น้อย…“ชี้ช่อง เปิดมุมมอง” ทำให้เกิดเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศ จุดประกาย “วิธีการขับเคลื่อนโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ในอดีต” ด้วยกลยุทธ์ที่ไร้เส้นแบ่งขั้ว สี การเมือง

หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ามาก หลายรัฐบาลก็พยายามกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศรูปแบบต่างๆ เพื่อหวังว่าเม็ดเงินเหล่านี้จะช่วยให้การลงทุนคึกคักตามไปด้วย แต่กลับไม่ได้ผลอย่างคาด เพราะนโยบายพวกนี้ก็เหมือน “ยาโด๊ป” เศรษฐกิจ เมื่อยาหมดฤทธิ์สภาพเศรษฐกิจก็ดูหงอยๆ ซึมๆอย่างที่เห็นกัน

แน่นอนว่าโจทย์นี้ยังเป็นความท้าทายของคนที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศอย่างมาก เชื่อว่าทุกคนก็คงอยากออกจากบรรยากาศเศรษฐกิจเช่นนี้ “หม่อมเต่า” อดีตปลัดกระทรวงการคลังและผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็ได้ฝากข้อคิดให้คนทำงานให้ประเทศ รวมถึงคนขับเคลื่อนประเทศไว้อย่างแยบคาย

ในวัย 72 ปี…ไม่มีบทบาทอะไรในแวดวงราชการแล้ว การจะพูด คิด สะกิดเตือนอะไรตรงๆ ก็คงไม่ใช่วิสัย แต่ “ขิงแก่” ก็มีวิธีที่จะสื่อ สะท้อนความคิดให้กับคนทำงานทุกวันนี้ ได้เห็นแบบอย่าง “ข้าราชการรุ่นพี่”

ตัดตอนไปที่เรื่อง “ภาษีคนรวย” เรื่องไกลตัวคนส่วนใหญ่ของประเทศแต่ใกล้ขั้วหัวใจสุดๆ

ม.ร.ว.จัตุมงคลเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เน้นเรื่อง “Welfare Economics” ที่สอนว่า…ทำอย่างไร คนจนถึงจะอยู่ได้ คิดว่าเรื่องสุขภาพและการเล่าเรียนจนเข้าเรียนได้สูงสุดเป็นเรื่องสำคัญ

“ถ้าไม่มีการเล่าเรียนและไม่ได้รับการดูแลรักษา คนจนจะแข่งกับคนรวยได้อย่างไร การจะให้เขาอยู่ในสังคมได้ก็ต้องทำให้เขาเป็นหน่วยที่มีกิ่งก้านสาขาอยู่ในฐานะที่จะต่อสู้…

จุดแข็งของประเทศไทยคือมี Social Mobility สูงมาก ไม่มีการกีดกัน เอาง่ายๆแม่ทัพบกไม่เคยมีนามสกุลเดียวกัน ขอเพียงเรียนดี สมัครเป็นทหารแล้วค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาก็มีโอกาส แต่โอกาสอย่างนี้ไม่มีในหลายประเทศ หรืออย่างนายทุนเศรษฐกิจหลายนามสกุลที่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้ว กลายเป็นนามสกุลใหม่ๆ คงนึกออกกันไม่ยาก”

หม่อมเต่ากลับมาทำงานปี 2508 รู้สึกเดือดร้อน เพราะคนก็ต้องรวยพอสมควรถึงจะมีเงินฝากธนาคาร ฝากแล้วพอได้ผลตอบแทนกลับไม่ต้องเสียภาษี

“คนจนก็จนอยู่อย่างเดิมเพราะไม่มีเงินฝาก ไม่ได้ถูกยกเว้นภาษี คนรวยมีเงินฝากแทนที่จะช่วยเสียภาษีจากดอกเบี้ยก็ไม่ต้องช่วย จึงรวยขึ้นทุกที…เป็นระบบของอเมริกันที่ทำคนรวยให้รวย ส่วนคนจนจะรวยเอง เพราะคนรวยจะรวยไม่ได้ถ้าคนจนฐานะไม่ดีขึ้น ซึ่งผมคิดว่าเป็นสัจธรรมที่ไม่จริงมากนัก…มักจะมีคนรวยที่รวยขึ้นไปเรื่อยๆ”

ปี 2516 รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย ทำให้โอเปกขึ้นราคาน้ำมันจาก 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็น 12 ดอลลาร์…ทุกคนก็ล้มละลายชั่วคราว ทุกอย่างหยุดหมด…เงินที่ประเทศไทยกู้ไว้ก็ผิดเงื่อนไขกันหมด ไม่มีเงินบาทจะสมทบตามเงื่อนไขสัญญา…สมัยนั้น “เงินกู้” ทั้งหมดมาจากธนาคารโลก ไม่มีเอกชนกู้เงินใครในต่างประเทศได้

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะ “ผู้กู้” ต้องส่งคนไปทุกกระทรวง ทั้งหมด 11 กระทรวง ถ้าจำไม่ผิด รวมทั้งรัฐวิสาหกิจต่างๆเพื่อไปเจรจาแก้ปัญหาเงินกู้ให้พอเป็นไปได้ที่จะชำระหนี้ เช่น การบินไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ กรมทางหลวง ฯลฯ

นอกจากนี้ เวลาใครจะทำโครงการอะไรที่ไหนก็ต้องบอก สศค. ซึ่งก็ต้องไปช่วยดูว่าจะหาเงินได้จากไหน เพราะตอนนั้นเราไม่มีเงิน การตั้งงบประมาณเหมือนอย่างในปัจจุบันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ตอนนั้นแค่ขอให้จ่ายเงินเดือนข้าราชการได้ก็บุญแล้ว

สศค.ยุคนั้นจึงทรงอิทธิพลมาก ที่สังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ รัฐมนตรีมี สศค.เป็นมือปืนรับจ้างช่วยทำการศึกษาอะไรต่ออะไรให้ เพราะแบงก์ชาติก็กึ่งๆเป็นอิสระ ไม่สะดวกนัก เวลาผู้ใหญ่ไม่รู้อะไรก็เรียก สศค.มาถาม

โดยเฉพาะ ดร.ป๋วย สะสมนักเรียนนอกไว้เต็มไปหมดจบปริญญาตรีเมืองนอกได้เงินเดือน 1,800 บาท จบเมืองไทยได้ 1,200 บาท ชีวิตและอาวุโสก็สบายกว่ากันแยะ…บวกกับประเทศไทยกำลังเจริญ พูดภาษาฝรั่ง เขียนภาษาฝรั่งได้ก็ช่วยงานและช่วยชาติได้มาก สศค.จึงเหมือนกับ “ยาแดง”ยาสามัญประจำบ้านยามจำเป็น

เมื่อ สศค.ต้องทำเรื่องมากมายที่เกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน เรื่องที่พวกเราทำก็ถูกวางบนโต๊ะ เมื่อใดที่กองเอกสารบนโต๊ะหมุนเวียนเข้ามาและออกไป ก็แสดงว่ากระบวนการบริหารประเทศเป็นปกติ

แต่…เมื่อใดเอกสารเข้ามาแต่ไม่สามารถออกไปได้ มันจะกองสูงขึ้นๆ พอเห็นว่ากองเอกสารมันตั้งสูงจัง ก็รู้เลยว่า…เดี๋ยวทหารคงทำรัฐประหาร เพราะมันแปลว่าการบริหารประเทศติดขัด

เรียกว่า…“Political Indicator” เป็นตัวชี้วัดสถานการณ์บ้านเมืองได้ดีว่า “ประเทศไทย” ยังเดินหน้าไปได้อยู่หรือเปล่า

ปี 2519 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เห็นตั้งเอกสารบนโต๊ะสูงขึ้นเรื่อยๆก็คือกระบวนการรัฐบาลไม่เดินแล้ว จากนั้นก็เกิดรัฐประหาร วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 โดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ หรือ “บิ๊กจอว์ส” ท่านเป็นผู้นำรัฐประหารที่มาจากทหารเรือครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ชาติไทย

และ…เป็นปีเดียวกับที่หนังเรื่อง “จอว์ส (Jaws)” มาฉายในเมืองไทย ซึ่งดังมาก ทุกคนกลัวปลาฉลามยักษ์กินคน จนแทบไม่กล้าลงเล่นน้ำทะเลไปพักหนึ่ง ก็เลยเรียกท่านอย่างนั้น…ทั้งที่ท่านไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่งาม

แล้ว…ก็ดูตั้งเอกสารที่โต๊ะอีก หลังจากรัฐประหารมีรัฐบาลใหม่แล้ว แต่กองเอกสารก็ยังตั้งสูงขึ้นๆ แสดงว่ากระบวนการรัฐบาลเดินไม่ได้และคาดว่าจะต้องมีรัฐประหารอีกแน่

ต่อมาไม่นาน วันที่ 20 ตุลาคม 2520 “บิ๊กจอว์ส” ท่านก็ทำรัฐประหาร “ปฏิวัติตัวเอง” จริง

“ทหาร…ทำรัฐประหารเพราะประเทศไม่เดิน รัฐประหารเสร็จ…ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดิน เพราะทหารไม่ได้เรียนมาว่า…ทำอย่างไร บริหารอย่างไร ประเทศจึงจะเดิน…ก็จะถามแต่ละกระทรวงว่ามีอะไรไหม”

หม่อมเต่าเตรียมพร้อมอยู่แล้ว พอ ท่านรัฐมนตรีสุพัฒน์ สุธาธรรม เดินมาบอกว่า…ทางคณะปฏิวัติเขาถามมาว่ามีอะไรไหม? ก็มองไปที่ตั้งเอกสารบนโต๊ะแล้วก็บอกว่า “มีครับ” บอกท่านว่า เราน่าจะเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝากนะครับ ท่านก็บอก “โอเค…คุณไปกับผม”

สดุดี (คนอื่น) พิมพ์ครั้งที่ 2 แล้ว ต้องออกตัวก่อนว่า หนังสือเล่มนี้เลือกบอกเล่าเหตุการณ์ที่เห็นว่า “ดีกับประเทศ” ไม่ได้มุ่งไปที่ “สี” ใด หรือ “บุคคล” ใด

ใครสนใจอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ น่าจะหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือใหญ่ๆ ร้านภูฟ้า ซีเอ็ด นายอินทร์ เอเชียบุ๊ค ศูนย์หนังสือจุฬาฯ หรือลองสืบค้นติดตามกันดูในร้านค้าออนไลน์ เฟซบุ๊ก…“หม่อมเต่า” น่าจะได้

เสียงสะท้อนจากการจัดพิมพ์ครั้งแรกเกิดประเด็นต่างๆขึ้นมากมาย แต่ความจริงก็คือความจริง ย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น.