วันอังคาร, พฤษภาคม 03, 2559

กำพืดที่มีอคติลำเอียง





สมมุตินะ ถ้าหากมีนายทุนสนับสนุนการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คสช. ฉบับมีชัย ของ ‘จ่านิว’ และกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ จริงตามที่กลุ่มนักศึกษา ‘เรารักชาติ’ ๖ คน ไปร้องเรียนกองปราบ

(http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=696012)

มันก็เป็นความชอบธรรมในทางประชาธิปไตย มากกว่าการกดดันให้ประชาชน ‘รับ’ ด้วยการใช้เจ้าหน้าที่ทหารออกไปตามหมู่บ้าน ใช้ข้าราชการปกครองและกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน บีบคั้นทางอ้อมบ้าง ตรงบ้าง ให้คนออกไปลงคะแนนกัน

ข้าราชการเหล่านี้กินเงินเดือน รับเบี้ยเลี้ยง ที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน เช่นเดียวกับกรรมการการเลือกตั้งบางคนที่ออกมาส่งเสริมประชามติเกินเหตุ ด้วยการเที่ยวฟ้องคนที่ต่อต้าน เป็นการเชือดไก่ ไม่ให้คนธรรมดากล้า ‘ไม่รับ’

เช่นกันอีกเมื่อนั้น เมื่อผู้บัญชาการทหารบกบอกว่า “ขอสื่ออย่าให้ความสนใจ นศ.ต้าน คสช. มาแค่ ๓ คน มายืนเฉยๆ นักข่าวมาโหล ตร.เป็นร้อยมันวุ่นวาย เชื่อสื่อรู้ว่าใครเป็นใคร ขออย่าสร้างความขัดแย้ง” (Deep Blue Sea @WassanaNanuam)

ก็ใครล่ะทำให้วุ่นวาย ตำรวจทำเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพราะต้องหงอ คสช. จับคนไปยืนนิ่งๆ หรือติดป้ายโพสต์อิท ด้วยข้อหาทำให้เกิดขยะรุงรังสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เป็นคดีฝ่าฝืนระบบความมั่นคง





อย่างที่ทนายอานนท์ นำภา ปรารภนั่นแหละ ในโลกนี้ก็มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ความผิดในคดีความมั่นคง รวมถึงการอ่านหนังสือ กินแซนวิช ยืนนิ่งๆ และแปะป้ายแผ่นกระดาษโพสต์อิทเล็กๆ

ทั้งหมดนี้เพียงที่จะให้เป็นไปตามโร้ดแม็พ คสช. ที่ครอบครองและกำจัด (ฝ่ายตรงข้ามคณะรัฐประหาร) ทำมาแล้วสองปี มีแต่บรรยากาศหวาดกลัว วังเวง ข้าวยากหมากแพง นานาชาติขาดความเชื่อถือ มองเห็นผู้นำเป็นตัวตลก มองเห็นรัฐชาติเกือบล้มเหลว

แล้วยังจะลากยาวทำอย่างตำบอนต่อไปอีก ๕ ปี พร้อมทั้งปูทาง เทปูนเพื่อจะกำกับต่อไปอีก ๒๐ ปีอย่างน้อย จึงได้ใช้กลเม็ดทุกหนทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้การเมืองแบบตัวแทน ซึ่งรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากในการเลือกตั้งมีอำนาจทางการบริหารอย่างเต็มที่

โกหกต่างชาติ ตอแหลกับประชาชน และสร้างจินตนาการให้แก่ตนเอง ว่าเป็นผู้วิเศษหน่วยเดียวที่สามารถแก้ไขความขัดแย้ง (อันเป็นปกติของวิถีประชาธิปไตย) ได้ ก็เลยสร้างภาพลวงว่าประชาธิปไตยล่มสลาย ต้องฟื้นฟูให้ยั่งยืนด้วยเผด็จการทหาร





ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างภูมิปัญญาที่ปรากฏมาทางกำพืดสี่ห้าข้อ อันมีน้ำหนักส่วนใหญ่ไปในทางการมีสมบัติผู้ดี แต่บางข้อจงใจผูกไปถึงการเมือง โดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ว่าจะไปสู่จุดจบและความล่มสลาย

“พูดกันถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ เรื่องเงินๆ ทองๆ และความร่ำรวย ถือพรรคพวกถือวงศาคณาญาติ เป็นสีเป็นฝ่ายเป็นศัตรู ลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันสำคัญของชาติ นิยมชมชอบคนรวยแม้เขาจะได้มาจากการโกงกิน ทุจริตไม่โปร่งใส ไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่าระบอบประชาธิปไตยจะไปรอดหรือไม่”

บุคคลที่จัดอยู่ในกระบวน ‘ลิ่วล้อ คสช.’ ซึ่งไม่นานมานี้เป็นที่โจทย์จรรถึงการจัดซื้อ ‘ไมค์ทอง’ ราคาเรือนแสน หมายจะให้ขลับรังสีสะท้อนใส่ใบหน้าทั่นผู้นำของเขา อ้างถึง ‘คำคมทางรัฐศาสตร์ตราบนิรันดร์กาล’ อันมี “นักปราชญ์ราชบัณฑิตชาวตะวันตกและอดีตเอกอัครราชทูตชาวสวิสอีกท่านหนึ่ง” กล่าวไว้แก่ “บิดาผู้ล่วงลับของข้าพเจ้า เอกอัครราชทูต หม่อมราชวงศ์สังขดิศ ดิศกุล เมื่อหลายปีก่อน ณ วังวรดิศ ถนนหลานหลวง”

(http://www.matichon.co.th/news/122606)

ภูมิหลังต่างๆ แสดงว่าทั่นรัฐมนตรีที่สูงส่ง มีจิตสำนึกต้านทานประชาธิปไตย ก็ไม่ว่ากัน ดูจากกำพืดแล้วพอเข้าใจได้ แต่ที่ไม่เข้าใจตรงที่ปฏิบัติตนเฉกเช่นข้าบริวารของเผด็จการ แล้วความสูงส่งจะยังคงอยู่ยงได้หรือไฉน

หากเป็นเช่นประธานศูนย์คุณธรรมก็ว่าไปอย่าง

นั่นเขาถือคุณธรรมแต่ที่เป็นประโยชน์แก่พวกพ้อง จึงร้องแรกแหกกระเชอเรื่องที่ ปปช. จะถอนฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรีสองคนและอดีตผู้บัญชาการตำรวจสองคน ในเหตุการณ์สลายชุมนุม พธม. เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑





นพ. จักรธรรม ธรรมศักดิ์ เขียนข้อความบนเฟชบุ๊คอ้าง “พ่อผมเป็น นรม.ผู้ลงนามรับสนอง ฯ ตั้ง ปปป.ไว้ในปี ๒๕๑๘ พัฒนามาเป็น ปปช. ที่ประชาชนคาดหวังสูงมากอยู่ในปัจจุบัน” แสดงความกังวลอย่างยิ่งว่า

“จริงอยู่ ยังไม่ได้ถอน แต่อยู่ในขั้นตอนของ จนท.ฝ่ายประจำต้องพิจารณาเสนอต่อกรรมการว่า ‘ควร’ ถอนไหม...

เห็นว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ความศรัทธา ของประชาชนตาดำ ๆ ที่มีต่อ ปปช. และอาจรวมไปถึง รัฐบาล และ คสช. ด้วยได้

น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ ผิดทั้งกาละ เทศะ และบุคคล จริง ๆ ครับ”

(http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…)

เห็นได้ชัดว่าผู้อ้างกำพืดยิ่งยงท่านนี้มีอคติลำเอียงเป็นกมลส่วนตัว ดังข้อสังเกตุของ Atukkit Sawangsuk ที่วิจารณ์เอาไว้

“ทำไมตอน ปปช.ชี้ว่าอภิสิทธิ์ สุเทพ ไม่ผิดคดี ๙๙ ศพ ผู้มีคุณธรรมไม่ยักห่วง

มาตรฐานกระสุนจริง VS แก๊สน้ำตา”

คงจำกันได้ว่าคดีอภิสิทธิ์-สุเทพ เป็นความรับผิดชอบสั่งการให้ทหารใช้กระสุนจริงและสไน้เปอร์ในการสลายชุมนุม นปช. ที่ล้ำเข้าไปในเขตอภัยทานวัดปทุมวนาราม ทำให้อาสาสมัครพยาบาลตาย ๖ คน

ส่วนคดีสมชาย-ชวลิต เป็นการสลายชุมนุม พธม. ด้วยแก๊สน้ำตา แต่สมาชิกพันธมิตรฯ ที่เสียชีวิต น้องโบว์ตายด้วยระเบิดปิงปองในกระเป๋าเหน็บข้างซอกอก สารวัตรจ๊าบตายด้วยระเบิดแสวงเครื่องในรถที่จะขับไประเบิดพรรคชาติไทย

ทั้งนี้ทั้งนั้น มันหนีไม่พ้น "In the eye of the beholder".