วันจันทร์, เมษายน 25, 2559

ชี้อันตราย คสช.ขาด“ภูมิคุ้มกัน”ช่วงเปลี่ยนผ่าน : ศรัทธาถดถอย บั่นทอนอำนาจ





ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการเมือง
24 เม.ย. 2559

เมืองไทยยังอยู่ในภวังค์ของเดือนเมษายน เดือนแห่งความร้อนระอุ

และยังแทรกด้วยพายุฤดูร้อนพัดถล่มในหลายจังหวัดภาคอีสาน ภาคเหนือ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ลูกเห็บตกใส่บ้านเรือนราษฎร วัดวาอาราม สถานที่ราชการได้รับความเสียหาย

หลายพื้นที่ได้เห็นภาพพืชผลทางการเกษตรล้มตายเพราะสภาวะแล้งจัด

ในขณะที่บรรยากาศทางการเมืองก็ดีกรีระอุถึงจุดที่เปิดหน้าแลกหมัดซัดกันตรงๆแล้ว

ตามอารมณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ให้สัมภาษณ์ออกอากาศ พูดชัดเลยว่า อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ชักใยอยู่เบื้องหลังล็อบบี้ยิสต์โจมตีรัฐบาลในต่างประเทศ และความเคลื่อนไหวของกลุ่มต้าน คสช.

จ่อไล่บี้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน สกัดท่อน้ำเลี้ยงขบวนการป่วน

เป็นอาการดุดัน ท่าทีร้อนแรงต่อเนื่องของหัวหน้า คสช.ที่ก่อนหน้านั้นก็ได้ให้สัมภาษณ์ออกอากาศ ชักน้ำเสียงเขียวปรามการเคลื่อนไหวในห้วงเข้าสู่โหมดประชามติร่างรัฐธรรมนูญ

ห้ามหมดทั้ง “โหวตโน-โหวตเยส”

ไม่เปิดไฟเขียวให้มีการรณรงค์รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ห้ามตีปี๊บชี้นำประชามติในทุกกรณี

โดยการคาดโทษหนักถึงขั้นจำคุก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่กฎหมายประชามติประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ พวกทำผิดเงื่อนไขโดนแน่

กระตุกบทเข้มของ “รัฏฐาธิปัตย์” ไม่สนกระแส ไม่แคร์สื่อ

พล.อ.ประยุทธ์เดินหน้ายกระดับความเด็ดขาดในการใช้อำนาจตามสถานการณ์ หลังโดนจี้ “ต่อมเดือด” จากการที่ขบวนการต่อต้านประชามติร่างรัฐธรรมนูญ กล้าเปิดหน้าแสดงตัวแสดงตนกันแบบโจ่งแจ้ง

ไม่สนจะเป็นการท้าทายอำนาจท็อปบูต

จุดเริ่มเลยก็คือเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองที่ประกอบไปด้วยอาจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำ ทั้งธรรมศาสตร์ จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ ศิลปากร ฯลฯ

เปิดแถลงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ลิดรอนสิทธิประชาชน

จัดอยู่ในโซนที่ไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง แรงเสียดทานอยู่ในระดับที่ คสช.หวั่นใจ

แต่นั่นไม่เท่ากับเป็นการกระตุกกระแสนำร่องให้ขบวนการที่แฝงเหลี่ยมทางการเมือง ซึ่งถูกกดทับไว้ด้วยอำนาจพิเศษ ได้จังหวะโหนลูกตามน้ำ

ตามสูตรยั่วให้ คสช.ทุบ ล่อให้เข้าเหลี่ยมปมละเมิดสิทธิมนุษยชน

โดยเฉพาะช็อตไฮไลต์ กรณีของ “เสี่ยไก่” นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีคนดังของพรรคเพื่อไทย ที่เดินทางเข้าพบทหารที่ค่าย มทบ.11 ตามนัดหมาย เพื่อทำการพูดจาปรับทัศนติ จากการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์ ประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

เล่นบทท้าทายมาตรการของ คสช.ไม่เลิก

ก่อนถูกนำไปควบคุมตัวที่ค่ายทหารในจังหวัดกาญจนบุรี โดยที่ลูกสาวของนายวัฒนาตระเวนขอเข้าเยี่ยมพ่อในค่ายทหาร พร้อมๆกับเดินสายยื่นหนังสือร้องเรียนถึงสหภาพยุโรป และผ่านสถานทูตสหรัฐอเมริกา

เรียกร้องให้ คสช.ปล่อยตัวบิดา

กลายเป็นฉาก “ดราม่าประชาธิปไตย” กระตุกกระแสสิทธิมนุษยชน

ในจังหวะล้อกันกับความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มพลเมืองโต้กลับ” ที่นำโดย “จ่านิว” นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำขบวนการหน้าเดิมๆ ที่ถูกรัฐบาล คสช.ตีราคาเป็นแค่พวก “รับงาน” รวมตัวชุมนุม แสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ให้ทหารปล่อยตัวนายวัฒนา

นั่นก็ทำให้ทหารฟันธงเลยว่า มีคนบอกบท ชักใยอยู่เบื้องหลัง

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเฉลยเองว่า “ทักษิณ”

แน่นอน สถานการณ์ไหลมาถึงจุดที่โจทก์สำคัญตามท้องเรื่องเผชิญหน้ากันตรงๆ

ระหว่างคู่ขัดแย้งหลัก พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวขั้วอำนาจ คสช.กับอดีตนายกฯทักษิณ ที่อยู่ในสถานะหัวขั้วอำนาจพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดง นปช.

เร้าบรรยากาศเข้าโหมดท้ารบแตกหักกัน

ท่ามกลางสถานการณ์เดิมพันประชามติร่างรัฐธรรมนูญเป็นหัวเชื้อชนวน

อย่างไรก็ตาม โดยรูปเกมอำนาจก็ยังอยู่ในจุดเดิมๆ

แบบที่ฝ่าย “ทักษิณ” ก็อาศัยความได้เปรียบในเกมมวลชนเป็นเกราะกำบังกาย

เน้นไปที่ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไทย เดินหมากบลัฟรัฐบาลทหารในด้านปมสิทธิมนุษยชน อาศัยแนวร่วมนานาชาติโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกากับสหภาพยุโรปกดดันรัฐบาล คสช.

กระตุกแรงบีบทางด้านเศรษฐกิจ บีบกันหน้าดำหน้าเขียว

ตามรูปการณ์อย่างที่เห็นรายการชักธงแดงด้านธุรกิจการบินและการยกธงเหลืองธุรกิจด้านการประมง ที่โยงกับปมการเมืองประเทศไทยภายใต้รัฐบาลทหาร

และก็เป็นอดีตนายกฯทักษิณที่โดนแฉว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์โจมตีรัฐบาล คสช.

ขณะที่ฝ่าย คสช.ก็มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในมือ โดยมีกองทัพเป็นฐานกำลังคุ้มกัน เน้นคุมเกมความมั่นคงภายในประเทศ เดินยุทธศาสตร์ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกดแรงกระเพื่อมจากฝ่ายต่อต้าน ให้ทหารเป็นหน่วยหลักแทนตำรวจ

ล็อกการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบถึงลูกถึงคน

“ทักษิณ-ประยุทธ์” ถือดุลกันไปคนละอย่าง ต่างฝ่ายต่างมีไพ่เดิมพัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะมีสัญญาณเร้าเข้าโหมดเผชิญหน้า ท่าทีแรงๆระหว่างคู่ขัดแย้งระดับหัวขั้วอำนาจ แต่หากประเมินตามเงื่อนสถานการณ์ก็ยังไม่ถึงขั้น “ติดดาบ” ลุยแต่อย่างใด

โดยสถานการณ์ด้านมวลชน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าม็อบจะออกมาต่อต้านรัฐบาล

ชนวนเงื่อนไขร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ถึงระดับที่จุดไฟติด

ที่สำคัญ ประเมินอารมณ์ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในอาการแหยงม็อบมากกว่าเบื่อทหาร อย่างน้อยตอนนี้บ้านเมืองสงบ ทำมาหากินได้สะดวกกว่า

ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับฉากม็อบยึดถนน ปาระเบิด ยิงกันเจ็บตาย

ในส่วนของสถานการณ์โลกล้อมประเทศไทย เงื่อนไขกดดันจากนานาประเทศก็คงทำได้แค่เฝ้าจับตา กดดันผ่านมาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจ

ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นรัฐล้มเหลว

ไม่ว่าชาติมหาอำนาจไหนก็แทรกแซงไม่ได้

หรือว่ากันในส่วนของนักการเมืองเอง แม้จับอาการของ 2 ค่ายใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เอาด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เวนคืนอำนาจนักเลือกตั้งอาชีพไปอยู่กับนักลากตั้ง

โดยเฉพาะการ “บอนไซ” พรรคใหญ่ เปิดทางให้พรรคเล็กได้ประโยชน์เต็มๆ

แต่เมื่อเทียบกับอาการทนอดอยากปากแห้งมา 2–3 ปี นักเลือกตั้งอาชีพไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทย พะยี่ห้อ “ทักษิณ” อยากลงสนามเลือกตั้งเต็มแก่

โดยเนื้อแท้ป้อมค่ายการเมืองก็ไม่ได้ตั้งป้อมชนทหารแบบท้าเป็นท้าตาย

อย่างดีก็แค่รักษาฟอร์มนักประชาธิปไตย เลี้ยงกระแสแต่งตัวลงสนาม

ตามเงื่อนสถานการณ์ยังอยู่ในวิสัยที่ทหารคุมเกมได้

เว้นเสียแต่ “ภูมิคุ้มกัน” ที่ “บกพร่อง” ลงไป

เรื่องของเรื่องสำรวจอาการ คสช. โดยเทียบกับสถานการณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ทหารเข้าทำการยึดอำนาจการบริหารจากรัฐบาลพลเรือน

เต็มไปด้วยดอกไม้และเสียงเชียร์

ตามระดับความคาดหวังของประชาชนที่อยากให้ทหารกู้วิกฤติความขัดแย้ง นำประเทศไทยกลับสู่ความสงบ มอบฉันทามติให้ คสช.ใช้อำนาจพิเศษ เดินหน้ายกเครื่องปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย

คนไทยพร้อมเป็นกำลังสนับสนุนเต็มที่ คะแนนต้นทุนเต็มหน้าตักของ พล.อ.ประยุทธ์

แต่ผ่านมา 2 ปี บรรยากาศอย่างที่เห็นๆกัน ถ้ารัฐบาลทหารไม่โกหกตัวเอง ก็ต้องยอมรับว่าอำนาจพิเศษเริ่มไม่ขลังเหมือนในช่วงแรกๆ

โดยระดับความขลังหายไปพร้อมๆกับอาการแปลกใจของคนในสังคม

กับปมทะแม่งๆแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์เองต้องตอบคำถามนักข่าว เคลียร์กระแสร้อนๆว่าด้วยปมการแต่งตั้งลูกชายของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกลาโหม เป็นทหารด้วยวิธีพิเศษ

หรือกับคิวที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ต้องแก้ข่าวเรื่องลับๆที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะถอนฟ้องคดีสลายม็อบพันธมิตรฯหน้าอาคารรัฐสภา ที่มีน้องชายคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.อยู่ในข่ายจำเลยร่วม

หัวขั้วอำนาจ คสช.ต้องเจอกับปมผลประโยชน์แฝงมากับเกมอำนาจ

มันย่อมหนีไม่พ้นสถานการณ์ “กัดกร่อนศรัทธา”

อย่าลืมว่า คสช.หยุดนักการเมือง โดยเงื่อนไขเรื่องของพฤติกรรมผลประโยชน์แฝงในอำนาจ แต่ถึงตอนนี้กลับมีข้อสงสัยในพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างจากที่โจมตีนักการเมือง

นี่ต่างหากที่เป็นอันตราย

ไม่ใช่แค่กับ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร หรือทีมงาน คสช.

แต่มันหมายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนคนไทย

เพราะถ้าถึงจุดที่วิกฤติศรัทธาอำนาจพิเศษเละ

รัฐบาลทหาร คสช.เอาไม่อยู่ สุดท้ายแล้วไม่เหลือใครที่จะคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้

“สงครามกลางเมือง” จะไม่ใช่ฉากที่เห็นแค่ในหนัง.


ทีมการเมือง