วันพุธ, เมษายน 20, 2559

ปล่อยวัฒนา = ปล่อยตนเอง จากความเขลาเบาปัญญา บ้าอำนาจ” (อจ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)





เป็นกระแสไปแระนี่ ‘Free วัฒนา’ อจ. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ บอกมา

“คสช.รีบ ๆ ปล่อยตัวคุณวัฒนา เมืองสุข เถอะ...

ยิ่งทำคุณวัฒนาซ้ำ ๆ เขาก็ยิ่ง ‘ดัง’ ไปกันใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ...” และ “กำลังจะกลายเป็น ‘ผู้กล้าประชาธิปไตย’...

ที่เขาพูดก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ และก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่พูด คนอื่น ๆ ก็พูด”





‘คนอื่น’ น่ะหมายถึงคนอย่าง สมเกียรติ อ่อนวิมล แก้วสรร อติโพธิ์ และสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ โดยเฉพาะรายหลังนี่วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ฉบับบวรศักดิ์ อุวรรณโณ โน่นแล้ว






แต่หนังสือพิมพ์เดลี่นิวส์เขียนถึงกรณีนายวัฒนา (อ้างแหล่งข่าว คสช.) ว่า “สิทธิต้องใช้ตามกฎหมาย อยู่ภายใต้เงื่อนไขกฎหมาย อย่ามาใช้สิทธิในการเขียนอย่างละนิดอย่างละหน่อย เพื่อปลุกปั่นกระแสมวลชนหรือฐานเสียงของตัวเอง...

อย่าลืมว่าคนเราทำอะไรไว้ มันก็ต้องมีมูล ไม่อย่างนั้นทำไมคนอื่นพูดไม่โดนดำเนินคดี เพราะเจตนามันมี

ดังนั้น คสช. จำเป็นต้องควบคุมตัวนายวัฒนาโดยยังไม่กำหนดว่าจะควบคุมตัวกี่วัน ซึ่งนายวัฒนาได้เซ็นรับทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

(http://www.dailynews.co.th/politics/392457)

หากแต่ประเด็นดังกล่าวที่ข่าวเสนอ นายวัฒนาเขาได้ชี้แจงไว้หมดแล้ว เพียงแต่แหล่งข่าวเดลี่นิวส์เอามาอ้างขอดเกล็ดอีกเท่านั้น การนัด resistant จึงเกิดขึ้น

“เจอกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สวมเสื้อขาวนะครับ” ทนายอานนท์ นำภา โพสต์บนเฟชบุ๊คเมื่อตอนหลังเที่ยง

เพื่อแสดงจุดยืนต้านอำนาจบาทใหญ่ ตามอำเภอใจของคณะรัฐประหาร “ไม่ต้องเตรียมป้ายมา...ยืนอย่างสงบ สันติ ยืนเฉยๆ โดยพร้อมเพรียงกัน ๑๘.๐๐-๑๘.๓๐ ไปเร็วมาเร็ว ‪#‎เข้าใจตรงกันนะครับ‬

หมายเหตุ ป้าๆ ที่จะมาร่วม กรุณาเตรียมยาดมมาเผื่อด้วย การยืนเฉยๆ นี่ก็ทำให้เวียนหัวได้ หุหุ”

มิใยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพลเมืองโต้กลับเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนายวัฒนาก่อนเที่ยงของวันที่ ๑๙ เมษายนนี้ และหากไม่ปล่อยจะทำการเคลื่อนไหวในช่วงเย็นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิว่า

“การนัดรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ไม่สามารถทำได้...และไม่กังวลกรณีที่องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างประเทศจับตาการใช้อำนาจของ คสช....

ขณะนี้รัฐบาลเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จึงขอเวลาและความร่วมมือก่อน อีกทั้งรัฐบาลประกาศชัดเจนแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในปี ๖๐ และไม่กังวลว่ากรณีนายวัฒนาจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว”

(http://www.matichon.co.th/news/109613)

น้ำผึ้งกี่หยดก็ไม่ใช่แน่ๆ แหละทั่น มันเป็น ‘องุ่นเปรี้ยว’ ที่ทั่นเคี้ยวไม่คล่องคอตะหาก

ฉะนั้น ก่อนหกโมงบนสะพานลอยอนุสาวรีย์ชัยฯ มีคนไปเดินเล่นเต็ม พอหกโมงตรง ‘คณะพลเมืองโต้กลับ’ มาปรากฏตามนัดหมาย ใส่เสื้อขาว

๑๘.๑๘ น. ผู้คนบนสะพานลอยพร้อมใจกันชูสามนิ้วพร้อมตะโกนให้ปล่อยวัฒนา ‘Free Watana, Free Watana, Free Watana ๆ ๆ ๆ ๆ ....”

จากนั้นกำลังตำรวจนับร้อยพร้อมรถ ‘คุกเคลื่อนที่’ เข้าจับกุมผู้ประท้วงบางราย ปรากฏในเวลาต่อมาว่าเป็นสมาชิก ‘พลเมืองโต้กลับ’ ถูกนำตัวไปสถานีตำรวจพญาไท





๒๐.๒๐ น. Surprised! ๕ สมาชิกพลเมืองโต้กลับ อาทิ ‘ทนายสิทธิมนุษยชน’ อานนท์ นำภา ‘แม่น้องเกด’ พะเยา อัคฮาด และ ‘จ่านิว’ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ได้รับการปล่อยตัว ไม่ต้องประกัน ไม่มีเงื่อนไข





ทว่า ก็ไม่มีวี่แววนายวัฒนา เมืองสุข จะได้รับการปล่อยตัวแต่อย่างใด ในเมื่อ คสช. ตั้งใจแล้วแน่วแน่ต้องกักกันวัฒนานานกว่าเคย อาจไม่เกิน ๗ วัน แต่ไม่น้อยกว่านั้น

ทั้งมีรายงานว่าทหารย้ายตัวนายวัฒนาจากที่คุมขังใน มทบ. ๑๑ ไปยังค่ายทหารที่กาญจนบุรี

บุตรีของนายวัฒนาจึงต้องทำตามสัญญากับพ่อเหมือนกัน น.ส.วีรดา เมืองสุข พร้อมด้วยทนาย นายนรินพงศ์ จินาภักดิ์ เดินทางไปที่ทำการคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำไทย (ณ อาคารแอทธินี่ ทาวเวอร์)





“พ่อได้สั่งไว้ว่าถ้าไม่ได้รับการปล่อยตัวให้มายื่นหนังสือที่อียู อยากให้ คสช. ปล่อยตัวพ่อ แม้จะมีรายงานว่าพ่ออยู่สบายดี ก็ขอให้ คสช. ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ”

คำร้องเรียนระบุว่าการควบคุมตัวบิดาโดย คสช. “ไม่ชอบด้วยกฎหมายและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และภรรยามาร่วมให้กำลังใจ”

น.ส.วีรดายังบอกกับนักข่าวด้วยว่าพ่อของเธอไม่มีความคิดที่จะลี้ภัยแต่อย่างใด “เพราะพ่อเป็นนักสู้พอ”

“การเดินทางมายื่นหนังสือต่อองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อให้นายวัฒนาได้รับอิสรภาพ ไม่ใช่เพื่อปูทางให้ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศอย่างแน่นอน และวันพรุ่งนี้ (๒๐ เม.ย.) เวลา ๐๙.๐๐ น.จะไปร้องทุกข์ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยด้วย”

(http://www.posttoday.com/politic/427299)

นายนรินพงศ์ ทนายของนายวัฒนาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า “ทางตัวแทนอียูที่เป็นผู้รับเรื่องแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศไทยอีกสองประเด็น ได้แก่ การจัดทำประชามติ และการนำตัวพลเรือนเข้ารับการพิจารณาคดีในศาลทหาร

ซึ่งทางอียูกังวลว่าเป็นการละเมิดหลักปฏิญญาสากลด้านสิทธิมนุษยชน แต่อียูไม่มีอำนาจแทรกแซงสถานการณ์ไทยแต่อย่างใด”

(https://www.facebook.com/BBCThai/posts/1763745933846439)

ถึงแม้อียูและสมาชิกสหประชาชาติอื่นๆ จะไม่อาจแทรกแซงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของ คสช. ได้โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศและมารยาท หากแต่การรับรู้รับทราบคำร้องเรียนก็ยังเป็นท่าทีอันเป็นประโยชน์ยิ่งต่อกระบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

เนื่องแต่ทำให้ คสช. ไม่สามารถโกหกพกลมต่อชาวโลกได้ทุกครั้ง หรือไม่ใช่เสมอไป

เนื่องจากกระแสการเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายวัฒนา มิใช่เพื่อให้อิสรภาพแก่นักการเมืองคนเดียว หากแต่เป็นคุณค่าทางมโนธรรมดังที่ อจ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ โพสต์ไว้

“Free Watana = Free Yourselves
ปล่อยวัฒนา = ปล่อยตนเอง จากความเขลาเบาปัญญา บ้าอำนาจ”