วันศุกร์, มีนาคม 04, 2559

เมื่อน้ำจริยธรรมแตกซ่านซ่า





ไปแล้ว ไม่น่าจะไปลับ เพราะแฟนคลับยังมีอยู่เยอะ

จะนานแค่ไหน “จนกว่าเราจะพบกันใหม่” เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เนอะ

สรยุทธ สุทัศนะจินดา เขียนอินสตาแกรมบอกลาก่อน มิใช่ลาเลย แต่เพื่อความสเบยใจของทุกฝ่าย โดยเฉพาะ “ไม่ให้เกิดผลกระทบกับ ช่อง ๓”

ก็คงทู่ซี้อยู่ไม่ไหวหรอก ในเมื่อน้ำจริยธรรมแตกซ่านซ่า ทั้งๆ ที่อีก ‘ยุทธ์’ บอกว่าประเทศ ‘ขาดน้ำ’ เนี่ยละ

เรียงหน้ากันมาเป็นเถือกแถว ตั้งแต่สนธิ ลิ้ม สุทธิชัย หยุ่น พรทิพย์ โรจน อัญชะลี (อี๊ปอง) ไพ เทพชัย หยอง สุภิญญา กลาง ประสาร มรึก แถมด้วยรายการแจม 'พายงัด' จาก สมศักดิ์ เจียม แม้กระทั่ง จอม เพชร




บ้างก็ ‘ริษยารวมหมู่’ หรือ ‘คู่กัดเก่า’ (อย่างที่ ‘อธึกกิต’ ว่า) บ้างก็หลักการมั่นคง ‘ทำผิดก็คือทำผิด’ โด่งดังแค่ไหนต้องไม่มี impunity

แม้นจะมีคนชี้ว่าพวกต่อมจริยธรรมโตนี่หลายคนโดนคดีหนักกว่า ไหงลอยหน้าได้ นี่มันมาตรฐานชั้นเล่าเต๊งหรือไร ประมาณนั้น

สำหรับเรานั้นคงต้อง ‘ผ่าน’ ไม่วิจารณ์ แค่ฝากไว้ตรงนี้นิดเดียว (จากที่มิตรสหายไม่ใกล้ไม่ไกลแนะนำมา)

ข้อเขียนของ รศ.ดร.พนา ทองมีอาคม ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลากรและวิชาชีพสื่อโทรทัศน์ โพสต์ไว้บนเฟชบุ๊ค Pana Thongmeearkom

เขาพูดถึงกรณี “คำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่ว่าจะชี้ว่าจำเลยบริสุทธิ์หรือมีความผิด ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยถ้าศาลที่สูงกว่าตัดสินไปในทางตรงกันข้าม”

กับ “เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน สมาคมวิชาชีพประกอบด้วยนักวิชาชีพ กรรมการหรือคนในนั้นล้วนยังชีพอยู่ด้วยรายได้จากเงินก้อนเดียวกัน และก็แย่งกันหาเงินอยู่กับคุณสรยุทธ” สรุปจึงไปลงที่

“กฎหมายที่คุณสรยุทธกระทำผิดหรือถูกหาว่ากระทำผิดนี้ ถ้าพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าเขาไม่ได้ทำผิดในวิชาชีพพิธีกรข่าว

แต่เขาไปกระทำผิดหรือถูกหาว่าทำผิดในอีกกฎหมายหนึ่ง จะอาญาหรือแพ่งก็ตาม กรณีนี้จะเอาอะไรเป็นฐานไปบังคับให้เขาพักงานอาชีพ”

(https://www.facebook.com/search/top/?q=pana+thongmeearkom)



ที่ต้องสำเหนียกมากกว่า ขณะที่ปิรัญญ่ากำลัง frenzy รุมแทะ their own fresh ชุลมุนวุ่นอยู่นั้น อีก ‘ยุทธ์’ หนึ่งเร่งรุกอย่างรวดเร็ว

“บิ๊กตู่เอาจริง! ส.ว.สรรหาคุมประเทศ ๕ ปี”

“นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีแนวคิดของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เสนอให้มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้มาจากการสรรหาทั้งหมดทำงานในช่วง ๕ ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน...

ถ้าปล่อยให้เป็นแบบเดิม ส.ว.และ ส.ส.ต่างก็เลือกเข้ามามีญาติพี่น้อง มีลูกเมีย มันก็ไปด้วยกันหมด ประเทศชาติมันก็แกว่ง มันไปไม่ได้”

เอ้า แล้วถ้า สว. มาจากการลากตั้งล้วนๆ มันจะไม่มีลูก ผัว และว่าที่ลูกเขยด้วยหรือไง

ยังอีก “แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปจับผิดรัฐบาล แต่เป็นการช่วยรัฐบาลในการประเมินผลงานของรัฐบาล หน้าที่ของ ส.ว.เป็นเช่นนี้...

หน้าที่แรกคือการดูเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใสในการทำงาน รวมทั้งการเดินยุทธศาสตร์ของประเทศ...

ในการทำนั้นก็เป็นเพียงการเขียนข้อหลักๆ ไว้ เหมือนการนำแผนของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นกรอบใหญ่ๆ มาบรรจุไว้ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงของประเทศ ยุทธศาสตร์ประเทศ ๒๐ ปี”

(http://www.matichon.co.th/news/57164)

ไหมล่ะ มาครบทั้งวงจร ‘เปลี่ยนผ่าน ๕ ปี’ แถมด้วย ‘ยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี’

แต่ตอนนี้เก็บเรื่อง ‘น้ำจริยธรรมแตก’ ของพวกคู่แข่งยุทธ (สร) ไว้ก่อน มาฟังเรื่อง ‘น้ำต้นทุน’ ของยุทธ์ (ประ) ดีกว่า

ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึงกรณีสถานการณ์น้ำโดยเฉพาะเรื่องน้ำประปาที่มีการปล่อยน้ำไม่สม่ำเสมอ ทำให้ประชาชนกักตุนน้ำว่า

“เราต้องคำนึงถึงน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ เพราะหากไม่มีน้ำจะต้องมาคำนวณว่าจะลดการใช้ในส่วนใดได้บ้าง เพื่อรักษาการใช้น้ำอุปโภคบริโภค

ทั้งนี้การประปายืนยันว่าจะมีการใช้น้ำส่วนนี้เพียงพอถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙”

“ส่วนใดควรที่จะลดการปลูกข้าวเพื่อหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน...แต่หากใครต้องการปลูกข้าวก็ต้องยอมรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เพราะมีน้ำไม่เพียงพอที่จะปลูกข้าวอยู่แล้ว...

จึงขอให้แยกออกจากกันในเรื่องทุจริตก็ส่วนทุจริต ก็ขอให้สอบสวนกันเอง”

(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1456984513)

เข้าใจนะ อะไรที่ทั่นไม่อยากทำ หรือทำไม่ได้ ก็ให้ไปจัดการกันเอง

อย่างเรื่องกรรมการเลือกตั้ง ‘มั่วนิ่ม’ คดี กปปส. หักหาญปิดกั้น ล้มเลือกตั้ง ๒ ก.พ. ๕๗ นั่น กกต. จำต้องจัดการตามกฎหมาย flight บังคับ

ซึ่งร่างแหผูกพันตัวเองอยู่ด้วย ก็เลยเอาอย่างแมลงสาบ ‘ผลักชั่วให้คนอื่น’ ลากยิ่งลักษณ์มาช่วยจ่ายค่าปรับด้วย

ตามข่าวนี้ “เพื่อไทย-กปปส.-อดีตกกต. รุมอัด กกต.หลังจ่อฟ้องเหตุเลือกตั้ง ๒ ก.พ. ๕๗ ล้ม” (http://prachatai.org/journal/2016/03/64422)

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย สับว่า “ไทยแลนด์โอนลี่ มีที่เดียวในโลกจริง ๆ ที่

ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนถูกกลั่นแกล้ง ถูกกระทำทุกวิถีทางให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง และเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ยังกระหน่ำซ้ำเติมด้วยการนำเรื่องที่ได้กระทำในหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ไปฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวนมากอีก”

นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. มีปฏิกิริยาอาการเช่นกัน “การลงมติของ กกต.ที่จะฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ กปปส.เป็นการลงมติแบบแก้เกี้ยว เพราะรู้อยู่ว่าประชาชนกำลังดำเนินการให้ กกต.ต้องรับผิดชอบ ผมขอโต้แย้ง”




ส่วนที่ต้องฟังกว่าใคร คือความเห็นทางข้อกฎหมายของอดีต กกต. สดศรี สัตยธรรม ที่ว่า

“บุคคลกลุ่มแรกที่ต้องรับผิดชอบคือ ผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้งเพราะมีหลักฐานชัดเจน

ส่วน กกต. มีหน้าที่บริหารจัดการเลือกตั้งรวมทั้งอำนาจในการเลื่อนวันเลือกตั้ง ดังนั้น กกต. ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยเช่นกัน”

สำหรับตัวการสำคัญ แกนนำ กปปส. ที่เคยมีซุ้มมือปืน ‘ป้อปคอร์น’ คอยคุ้มกัน สุวิทย์ อิสระ วัดอ้อน้อย แย้มว่า




“งานนี้ฉันคงต้องใช้คำพิพากษาของศาลปกครองไปเป็นเครื่องต่อสู้ในชั้นศาล พี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งหลายไม่ต้องวิตกกังวล

ฉันมีแนวทางในการต่อสู้คดีอยู่แล้ว” เส้นอย่างหนา ว่างั้นเถอะ

ข่าวประชาไท (http://prachatai.org/journal/2016/03/64425) อ้างถึงคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษทุกกระทงความผิดของนายวิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์ หรือท็อป มือปืนป๊อปคอร์น อายุ ๒๔ ปี ให้จำคุก ๓๗ ปี ๔ เดือน ว่า

“อย่างไรก็ตาม วันนี้พุทธะอิสระไม่มีการโพสต์ผ่านเฟชบุ๊กแฟนเพจถึงกรณีคำตัดสินกรณีมือปืนป๊อปคอร์น ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่อง”

อย่างนี้คำถาม “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” คงใช้การไม่ได้เสียแล้ว ตอนนี้ต้องว่า “เราจะเป็นอย่างนี้ไปอีกยี่สิบปีละหรือ”