วันเสาร์, มีนาคม 12, 2559

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ชอบมาพากลและผิดผีผิดไข้ในบ้านเมือง ภายใต้การกุมอำนาจของ คสช. ดังมากขึ้น




เมื่อสามวันก่อน ‘บักดอน’ ลิ่วล้อ คสช. ฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ กระหวัดลิ้นว่าผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงกลุ่มประเทศ จี ๗๗ คนหนึ่ง ชมรัฐบาลทหารมีธรรมาภิบาลเหนือกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง

(http://www.tnamcot.com/content/420695)

วันนี้เป็นที่รู้กันทั่วว่าในวันเดียวกัน (๙ มีนาคม) นั้นเอง มีการจับกุมตัวแอ็ดมินเพจเฟชบุ๊ครายหนึ่งเอาไปควบคุมตัวไว้ จนป่านนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร

อานนท์ นำภา โพสต์ข้อความเมื่อเช้าวานนี้ “ช่วยแชร์ !!! และช่วยตามหาคนด้วยครับ

ประกาศด่วน ขอความช่วยเหลือ เมื่อคืนก่อนคุณสราวุฒิ (บำรุงกิตติคุณ) ถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุมและควบคุมตัว ตอนนี้ไม่สามารถติดต่อได้ ท่านใดรู้จักญาติหรือติดต่อใครได้ หรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการควบคุมตัว กรุณาแจ้งที่ผมด่วนด้วยครับ”




ขณะเดียวกัน ปรากฏว่ามีการแถลงข่าวของเพจ ‘หยุดดัดจริตประเทศไทย’ กรณี ‘แอดมินเพจถูกทหารจับ’

“ขอเรียนชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง

คนที่ทหารไปจับคือนาย ‘Sarawut Bamrungkittikhun’ เขาเคยเป็นอดีตทีมงานจริง แต่ได้ลาออกไปนานมากแล้ว ซึ่งเขาไปเปิดเพจตัวเองชื่อว่าเพจ ‘เปิดประเด็น’ และเราไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันอีก

เพจหยุดดัดจริตประเทศไทยตอนนี้มีแอดมินคนเดียว และอาศัยอยู่ต่างประเทศในแถบยุโรป การมาจับใครแล้วอ้างว่าเป็นแอดมินเพจนี้ จึงเป็นเรื่องเท็จและยัดข้อหาของ คสช.”

(http://prachatai.org/journal/2016/03/64573)

นอกนั้นชื่อบัญชี ‘หยุดดัดจริตประเทศไทย’ คอมเม้นต์เพิ่มเติมว่า “ตัวก็อยู่ลอนดอน มีข่าวว่าถูกจับ ยังนึกเลยว่าถูกจับได้ยังไงวะ ตำรวจอังกฤษเป็นพวกเดียวกับ คสช. เหรอ 5555”

ล่าสุดมีการยืนยันจากบัญชีทวิตเตอร์ของ สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ประจำประเทศไทยว่า

‪#‎Thailand‬ authorities reportedly put Sarawut, administrator of anti-junta FB page, in secret detention since 9 Mar.”

จากการเข้าไปดูหน้าเฟชบุ๊คของสราวุฒิ พบว่ามีโพสต์หลังสุดเมื่อคืนวันที่ ๑ มีนาคม เป็นคลิปวิดีทัศน์ของ ‘กรุงไทย ใครโกง’ เรื่อง “เหยื่อแห่งความขัดแย้งทางการเมือง”

แน่นอนละว่าเป็นอีกเพจหนึ่งในหลายๆ สิบเพจ ที่วิพากษ์วิจารณ์ความไม่ชอบมาพากลและผิดผีผิดไข้ในบ้านเมือง ภายใต้การกุมอำนาจของ คสช.




โดยเฉพาะในด้านการบังคับใช้กฎหมาย ที่มีทั้งคำสั่งคณะรัฐประหารฉบับต่างๆ และรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา ๔๔ ที่เป็นกฎหมายเผด็จการกดขี่ต่อประชาชนผู้เห็นต่าง และต้องการกลับสู่การมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนในทันที

ความรู้สึกดังกล่าวขยายตัวมากขึ้นทุกวัน ไม่จำกัดจำเพาะภาคส่วนทางการเมืองตรงข้ามกับคณะรัฐประหารเท่านั้น เมื่อสองวันก่อน (๑๐ มีนาคม) นี่เอง มีการเสวนาทางวิชาการประเด็น ‘ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กับการปฏิรูปประเทศ’ จัดโดยสถาบันพระปกเกล้าฯ

นายคณิต ณ นคร อดีตประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา กล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย




“ผ่านมามีความพยายามปฏิรูปการเมือง แต่กลับไม่มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่กระบวนการยุติธรรมของเราเป็นปัญหา...

เพราะตนคิดว่าถ้าเราไม่ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ความสงบเรียบร้อยในประเทศก็เกิดยาก”

(http://www.dailynews.co.th/politics/384888)

แม้นว่าก่อนหน้านี้หน่อย เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แจ้งว่าได้มีการปรับเนื้อหาในร่าง รธน.เกี่ยวกับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหลีกเลี่ยวข้อครหาที่ว่ามีการผูกขาดอำนาจไว้กับศาล รธน. เสียจนเท่ากับให้อำนาจเหนือองค์ประมุข

นายอุดม รัฐอมฤต บอกว่าในกรณีที่ไม่มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เดิมให้ศาล รธน. แห่งเดียวชี้ขาด ก็ปรับใหม่ให้ ประธานองค์กรชั้นสูงต่างๆ เช่นสภาผู้แทนฯ วุฒิสภา ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด รวมทั้งองค์กรอิสระเข้าร่วมวินิจฉัย

กับประเด็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ให้ศาลฎีกาเข้ามาร่วม

(http://www.thairath.co.th/content/587739)




แต่นั่นหาใช่แก่นกระพี้แท้จริงสำหรับการปฏิรูปที่ประเทศชาติต้องการไม่ เนื่องจากองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาใช้อำนาจเหนือฝ่ายการเมือง เป็นส่วนที่มาจากการแต่งตั้งอันมิได้ผูกโยงกับประชาชนตามหลักการประชาธิปไตย และอธิปไตยเป็นของปวงชน ในทางใดเลย

(หากจะดูตัวอย่างของศาลสูงสุดสหรัฐที่สามารถตัดสินยับยั้งคำสั่งรัฐบาลและล้มล้างกฎหมายย่อยที่ผ่านสภามาแล้วได้ ที่มาอิงแอบกับประชาชนโดยตรง คือประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาพิจารณารับรอง)

วานนี้ (๑๑ มีนาคม) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เสนอความเห็นท้วง ‘คำสั่ง’ ทางวาจาผ่านสื่อของรองหัวหน้า คสช. ด้านกลาโหม ไว้น่าสนใจยิ่ง




พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวว่าที่ตนพูดว่าจะให้ คสช. ไปเป็น สว. แบบสรรหาอีก ๕ ปีช่วงเปลี่ยนผ่านหลังจากมีรัฐบาลเลือกตั้งแล้วนั้น “ผิดตรงไหน”

นายพงศ์เทพไม่ได้พูดถึงประเด็นผิดหรือไม่ผิด แต่ได้ชี้ให้เห็นตรงที่ว่า สว. ลากตั้งที่บิ๊กตือต้องการนั้นจะให้มีหน้าที่อะไร เหมือนปี ๒๕๒๑ ไหม ถ้าหาก สว. มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย นายพงศ์เทพก็มีคำถามกลับว่า

คสช. ที่จะให้ไปเป็นสว. ลากตั้งนั้นเป็นใครบ้าง เฉพาะนายทหารที่นั่งกินเงินเดือนรัฐมนตรีกันอยู่เดี๋ยวนี้ หรือลิ่วล้อทุกคนที่อยู่ใน ครม. หรือคณะรัฐประหารทั้งกระบิ

ถ้าเช่นนั้น “๒. คสช.จะเข้ามาทำอะไร และมีอำนาจหน้าที่อะไร ถ้าเข้ามาผ่านกฎหมาย ก็ต้องถามว่า สมาชิก คสช.มีความรู้มากมายที่จะเข้ามาทำกฎหมายหรือ”

และในประเด็นที่เกี่ยวกับการให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจอันวิเศษนั้น นายพงษ์เทพก็มีคำถามด้วยว่า นอกจากหลักการแยกอำนาจและมีที่มายึดโยงประชาชน หรือไม่แล้ว

“คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา เราลองเอาไปให้นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศศึกษาดูสิว่าเป็นกลางเพียงใด”

(http://www.matichon.co.th/news/66943)

นั่นแหละนะ ท่านผู้ชม ย้อนไปถึงกรณีคำพูดของบักดอน ตั้งแต่เรื่องต่างชาติอยากได้บีกตู่ไปเป็นนายกฯ กับผู้ทรงคุณวุฒิจี ๗๗ ว่ารัฐบาลทหารมีธรรมาภิบาลสูง ไปถึงพูดออกสื่อเปรียบอดีตนายกฯ เป็นหมากัดคน

ทำให้เห็นว่าลิ่วล้อ คสช. ประเภทชิวหาดิ้นได้ ‘spine no more’ ปราศจากไขสันหลังอย่างนี้ ขืนให้ไปเป็น สว. คุมชะตาประเทศ กำกับรัฐบาล คงช่วยกันบรรเลงจนชนชาติไตบรรลัย