วันศุกร์, มกราคม 15, 2559

อุบัติการณ์ ‘นกหวีดติดกระเดือก’ ยัง rocks ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับปฏิบัติการทหารไทย ‘กวน’ เด็กและคนชรา





อุบัติการณ์ ‘นกหวีดติดกระเดือก’ ยัง rocks ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับปฏิบัติการทหารไทย ‘กวน’ เด็กและคนชรา

เมื่อวานซืน ทหารบุกกลางดึก ขอพบ วิไลวรรณ แซ่เตีย อดีตประธานกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย “นั่งร้านที่ถูกรื้อตามนายแพทย์ มงคล ณ.สงขลา”

“ที่สำนักงานกลุ่มสหภาพแรงงานย่านอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ เจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหลายนายในเครื่องแบบ เดินทางมาเพื่อขอพูดคุยกับ วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (ซึ่งเคยโด่งดังสมัยชัตดาวน์บางกอก)...

คนงานได้สอบถามเจ้าหน้าที่ทหารทำไมถึงมากลางดึก ได้รับคำตอบว่า อาศัยอำนาจตาม ม.๔๔ พร้อมกำชับด้วยว่าต่อไปนี้หากวิไลวรรณ จะทำอะไรต้องแจ้งให้ทหารทราบก่อน”

(https://www.facebook.com/Prachatai/posts/10153342505276699)

เรื่องนี้เราเห็นด้วยกับ Atukkit Sawangsuk ที่ shared Thanapol Eawsakul's post.

“สะใจไม่ได้ เพราะเป็นความเดือดร้อนของพี่น้องคนงาน แค่สาปส่งผู้นำพวกนี้ก็แล้วกัน”

ผู้นำตัวเอ้ ก็คงไปสุดที่ นพ.ประเวศ วะสี เพราะมีคนแฉ




“มีหลักฐานว่ามูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ที่มีนพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน และนพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เป็นเลขาธิการนั้น ได้รับเงินจาก สสส.ไปมากกว่า ๘๐๐ ล้านบาท”

นั่นจากปากคำของ พญ. เชิดชู อริยศรีวัฒนา ซึ่ง บรรจบ ขุมทอง เอามาแฉต่อ

“ที่ผ่านมา กลุ่ม นพ.ประเวศ มีการเขียนกฎหมายเพื่อดึงเอางบประมาณแผ่นดินมาตั้งกองทุน พร้อมกับตั้งตัวเองและพวกพ้องเข้ามาบริหารกองทุน




หรือบางทีก็กลับมาเป็นผู้รับทุนเองด้วยซ้ำ ผ่านรูปแบบของการตั้งมูลนิธิทางด้านสาธารณสุข โดยไม่สามารถตรวจสอบการทำงานได้ เช่น กองทุนบูรณะเวศ ซึ่ง นพ.ประเวศ ก็เป็นผู้ตั้งเอง

ก็คือการนำงบประมาณจากหน่วยงานรัฐมาใช้ผ่านกองทุน เข้าสู่มูลนิธิเพื่อทำเรื่องการปรับคุณภาพน้ำในท้องถิ่น แต่กลับพบว่ามีการเรียกรับเงินจากประชาชน ทั้งที่ได้รับทุนมาเพื่อทำงานให้ประชาชน”

ก็คงตามนั้นแหละ เราไม่รู้ (เพิ่งรู้) เราไม่ใช่คนแถวนั้น เราแค่แชร์ข้อมูลที่คนอื่นๆ ควรรู้

เช่นเดียวกับกรณีตะหานลิ่วล้อ คสช. เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านที่ต้องการสิทธิอิสระ มี convictions แรงบันดาลใจ อยากได้ประชาธิปไตยสัมผัสได้จริงๆ ไม่ต้องรอจนถึง ‘ยั่งยืน’

บ่ายวานนี้ (๑๔ ม.ค.) “ทหารเข้าค้นบ้านของ ‘นิว’ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และยึดตั๋วรถไฟที่สะสมไว้ไป โดยขณะที่ทหารค้นบ้านมีเพียงยายของสิรวิชญ์อยู่ที่บ้านเพียงคนเดียว”




“นายสิรวิชญ์ เป็น ๑ ใน ๑๑ คนที่ถูกออกหมายเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจรถไฟธนบุรี ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ ๓/๒๕๕๘ ข้อ ๑๒ เรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน ๕ คน จากการทำกิจกรรม ‘นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องหากลโกง’ เมื่อวันที่ ๗ ธ.ค.๒๕๕๘”

ทั้งนี้ ‘จ่านิว’ ได้ประกาศไว้เมื่อ ๘ ม.ค. ว่าตนและเพื่อนที่ถูกหมายเรียกอีกสี่คน จะไม่เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา เพราะเห็นว่ากิจกรรมไปราชภักดิ์ไม่ใช่การเมือง “การตรวจสอบโครงการของรัฐไม่ใช่สิ่งผิด”

(https://tlhr2014.wordpress.com/20…/…/14/sirawit-ratchapakti/
และ http://prachatai.org/journal/2016/01/63490…)

ทหารเหล่านั้นบอกกับยายของจ่านิวว่า “หากสิรวิชญ์ไม่เข้ามอบตัวจะไม่ให้ประกันตัว หลังศาลทหารอนุมัติหมายจับวานนี้...ไม่มีมีการแสดงหมายค้น แต่มีการอ้างว่าหากบริสุทธิ์ใจต้องให้เข้าค้นได้”

“และเอาตั๋วรถไฟที่่ผมสะสมไว้กว่าพันใบไป บอกว่าจะเอาไปทำรายงาน” นิว สิรวิชญ์ กล่าวกับ ‘ประชาไท’




ไม่แต่เท่านั้น “ทหารบุกบ้านจ่านิว ถามแม่จ่านิวว่ามีเครื่องซักผ้าด้วยเหรอ” (บก.ลายจุด @nuling) เออ มันเกี่ยวอะไร เขาจะมีเครื่องซักผ้าหรือยาดับกลิ่น ทหารพวกนั้นก็ไม่ควรอ้าปาก สักวันจะโดนซัก โดนฉีดเสียบ้าง

นี่แหละเขาถึงว่ากันว่า ตะหานลิ่วล้อ คสช. ทำตัวเหมือนมาเฟีย ยิ่งกว่าจิ๊กโก๋ปากซอย น้อยกว่าพวกฟาสซิสต์หน่อยหนึ่ง เพราะพวกนั้นยังผลักดันด้วยอุดมการณ์ แต่พวกนี้ไม่รู้ภาษี (ที่กิน) ภาษา (ที่เรียน)

ควรที่จะเอา ‘เม้นต์’ นี้ไปลองปฏิบัติดู Incognito @Incognito_me : “ทหารที่ไปเยี่ยมบ้าน ‪#‎จ่านิว‬ ควรบันทึกรายชื่อ ‪#‎หนังสือ‬ ในบ้านและไปหามาอ่านเองด้วย เผื่อจะเข้าใจความคิดของประชาชนที่ไม่ยอมรับ ‪#‎รัฐประหาร‬

แต่ก็นะจะว่าไป พวกลูกน้อง คสช. แม้ระดับที่ร่ำเรียนกฏบัตรกฎหมาย ก็ยังไม่วายขาดตบะ เริ่มจิก กัด ฟัดกันเองแล้ว

สององค์กรอิสระเปิดม่านซัดกัน ยังไม่ถึงขั้นยางออก เมื่อ ป.ป.ช. เสิบสาน หาญงัดข้อกับศาลปกครองสูงสุด อ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง (๓) ให้ ‘ไต่สวนและวินิจฉัย’

โดยนายสรรเสริญ พลลำเจียก เลขาธิการอ้างว่าคำ ‘วินิจฉัย’ ในกฎหมาย หมายถึงให้อำนาจตัดสิน ชี้ขาด (ไม่ใช่การพิจารณาก่อนตัดสิน อย่างที่บัณฑิตทั้งหลายเข้าใจ)

ครั้นเมื่อ “ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยสรุปว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดีเฉพาะความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ (ในคดีหมายเลขดำที่ อ.๕๐๕/๒๕๕๓ คดีหมายเลขแดงที่ อ.๑๐๓๗/๒๕๕๘)

การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริง และมีมติชี้มูลความผิดทางวินัยในความผิดฐานอื่น เป็นการกระทำไม่มีอำนาจตามกฎหมาย”

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452788338)

ป.ป.ช. ที่กำลังเริงร่าในอำนาจชี้เป็น (ปชป.) ชี้ตาย (พ.ท.) รัฐบาลจากการเลือกตั้งได้ ก็เลยของขึ้น หักศอกสวนเข้าใส่ศาลปกครองบ้าง

“ป.ป.ช. จึงไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว” นายสรรเสริญชี้แจง

“ที่ประชุมจึงมีมติให้ดำเนินการ” ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีนำไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อ ‘ชี้ขาด’ ให้ศาลปกครองวินิจฉัยตัดสินคดีดังกล่าวเสียใหม่

ประมวยขั้นเทพรอบนี้เป็นที่จับตาจ้องกันไม่กระพริบ มิใช่เพราะอยากรู้ว่าข้างไหนจะมีทีเด็ดมากกว่าเพื่อเอาชนะคู่ฟัด แต่ลุ้นว่า ครม. ที่ ป.ป.ช.ยัดคดีใส่มือให้น่ะ จะวินิจฉัย ‘ตัดสินชี้ขาด’ อย่างไร

ส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ องค์กร (ในทางปฏิบัติ) ‘เหนือ’ รัฐธรรมนูญ พิจารณาตัดสินตามที่จำเลยร้องมา หรือว่าใช้อำนาจ ‘เหนือ’ รัฏฐาธิปัตย์ (ม.๔๔) ของตัวเองจัดการให้มันรู้แล้วรู้รอดไปว่า คสช. นี่ครอบจักรวาลจริง

ไม่เช่นนั้นจะตกที่นั่งเหมือนอย่างพรรคประชาธิปัตย์สมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้า ที่โดนสื่อล้อเลียนว่า เป็นหลวงตาเฝ้าฝูงวานร