วันพุธ, มกราคม 06, 2559

ปมราชภักดิ์ไม่เคลียร์-แก้ปากท้องไม่เวิร์ก-ปฏิรูปไม่คืบ “ลุงตู่” ส่อเละ!




ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
5 มกราคม 2559
เมืองไทย 360 องศา

ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่ากับการที่เลือกเวลาวันแถลงผลการสอบสวนกรณีโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยเลือกเอาวันที่ 30 ธันวาคม ปลายปีที่แล้วช่วงคาบเกี่ยวรอยต่อปีใหม่ ที่ตอนนั้นชาวบ้านมีจิตใจจดจ่ออยู่กับช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองกันแล้ว

อย่างไรก็ดี เมื่อพยายามพิจารณาเนื้อหาของการแถลงดังกล่าว ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่า ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเพียงการยืนยันว่าการก่อสร้างโครงการดังกล่าวใช้งบถูกต้องตามขั้นตอน แต่ “ไม่มีอำนาจสอบสวนเรื่องการทุจริต” ดังนั้น ความหมายก็คือ บอกไม่ได้ว่ามีการทุจริตหรือไม่ รวมถึงบอกไม่ได้ว่า มีใครทุจริตบ้าง เพียงแต่ย้ำว่า หากยังสงสัยก็สามารถให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาสอบสวนต่อ

แน่นอนว่า เมื่อผลออกมาแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่อาจทำให้สังคมมองว่าเป็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาเพื่อ “ซื้อเวลา-ลดกระแสร้อน” ในตอนนั้น มิหนำซ้ำยังเลือกเวลาแถลงในช่วงเวลาแบบนั้นเสียอีก มันก็ต้องคิดแบบนั้น เพราะในเมื่อสิ่งที่ชาวบ้านต้องการอยากรู้ว่า มีการทุจริต มีการอมค่าหัวคิวหรือไม่ ตามที่มีการกล่าวหากันก่อนหน้านี้ แต่กลายเป็นว่า เมื่อผลสอบออกมากลับไม่มีเรื่องดังกล่าว อ้างว่าไม่มีอำนาจในการสอบสวน กลายเป็นว่าคณะกรรมการชุดนี้ของกระทรวงกลาโหมที่แต่งตั้งโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สอบสวนในสิ่งที่ชาวบ้านไม่อยากรู้ กลายเป็นว่า “ถามช้างตอบม้า” ทุกอย่างก็ยังคาใจ บั่นทอนศรัทธาลงไปอีก เพราะหากบริสุทธิ์ในจริง ทำไมไม่เปิดกว้างให้หน่วยงานตรวจสอบอย่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบตั้งแต่ต้น ทำไมไม่เปิดเผยตั้งแต่ต้นว่า ขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการสอบสวน ที่นำโดย พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ว่า มีแค่ตรวจสอบเรื่องการใช้งบประมาณก่อสร้าง ไม่ได้มีอำนาจไปสอบสวนบุคคล หรือตรวจสอบว่ามีใครทุจริตหรือไม่

เมื่อผลออกมาแบบนี้มันก็ต้องรับความเสี่ยง และจะกลายเป็นเหยื่อขยายผลของเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่เชื่อว่ายังไม่ให้จบง่ายๆ แน่นอน

อีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่อาจมีผลต่ออนาคตของรัฐบาล ต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมไปถึงอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยนั่นคือ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง เพราะกลายเป็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นหนึ่งในความคาดหวังของชาวบ้านส่วนใหญ่หลังจากรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา

แต่เมื่อเวลาผ่านมาเกือบสองปีแล้วก็ยังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น มีแต่ข้ออ้างว่าเป็นปัญหาหมักหมมมาจากพวกนักการเมืองในยุคก่อน หรือเป็นปัญหาจากภายนอกจากเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี เมื่อมีแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 59 จากเดิมที่เคยคาดการณ์กันว่าจะเติบโตขยายตัวสูงสุดราวร้อยละ 4 มาถึงตอนนี้เริ่มลดลงมาเหลือร้อยละสามกว่า หรืออาจใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

นั่นก็หมายความว่า เรื่องปากท้องของชาวบ้าน เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ยังคงฝืดเคืองกันต่อไป รวมทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตรหลัก ๆ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ยังคงตกต่ำต่อไป ซึ่งเรื่องนี้แหละที่น่าเป็นห่วง เพราะกระทบต่อชาวบ้านส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อคนพวกนี้ไม่มีรายได้ไม่มีกำลังซื้อถึงรัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นออกมาอย่างไร มันก็ไม่ได้ผล อีกทั้งในปีนี้คาดว่ายังต้องเจอกับภาวะภัยแล้งผสมโรงเข้ามาอีก ทำให้ทุกอย่างไม่น่ารื่นรมย์เลย ที่สำคัญ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด หากเข้าปีที่สาม แล้วยังเหมือนเดิมก็คงจะกล่าวโทษพวกนักการเมืองได้ไม่เต็มปากแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญไม่น้อย ก็คือ การปฏิรูป ที่ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน แต่มาจนถึงวันนี้ทุกอย่างยังนิ่งสนิท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้เห็น อย่างเรื่องการปฏิรูปวงการตำรวจ ที่เป็นความต้องการของชาวบ้านระดับต้นๆ มาถึงวันนี้ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะไม่แตะต้อง เพราะก่อนหน้านี้เคยยอมรับแล้วว่า จะปล่อยให้เป็นภาระของรัฐบาลหน้า นั่นก็หมายความว่า ให้นักการเมืองเข้ามาปฏิรูปตำรวจนั่นแหละ

ดังนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ว่าเป็นเพียงการโยกย้ายตำรวจสายหนึ่งออกไปแล้วแต่งตั้ง “คนของตัวเอง” เข้ามาแทนเท่านั้น เป็นลักษณะของการ “กระชับอำนาจใหม่” เท่านั้น

ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 57 เป็นต้นมา และพิจารณาจากแนวโน้มในอนาคตว่าจะคลี่คลาย หรือเป็นไปตามเป้าหมายที่ใช้คำว่า “ผลสัมฤทธิ์” ได้หรือไม่ เพราะทั้งสามเรื่องหลัก นั่นคือ ปมราชภักดิ์ ที่ยังไม่เคลียร์ เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง และการปฏิรูป เรื่องดังกล่าวไม่น่าประทับใจ มันก็จะเป็นตัวเร่งให้เสื่อมศรัทธาเร็วขึ้น ซึ่งน่าเป็นห่วง

เพราะถ้าในปีนี้ยังเป็นแบบเดิม มันก็เสี่ยงที่จะทำให้เละ และเหนือสิ่งอื่นใดจะ “เสียของ” แบบน่าเสียดาย!