วันจันทร์, พฤศจิกายน 30, 2558

เศรษฐกิจไทยจมปลัก กระทั่ง loan sharks ยังบ่น : The New York Times รายงาน

“อย่าได้ดีใจว่านักท่องเที่ยวจีนปีนี้มาเที่ยวไทยกันเยอะแล้วล่ะ ประเทศไทยยังติดอยู่ในปลัก” ขึ้นไม่ไหว

บทความในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทม์เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายนนี้ ขึ้นต้นถึงภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ว่า “กำลังใกล้จะตาย และรายได้ในครัวเรือนก็ตกต่ำติดลบหนักที่สุดในเอเซีย”

“อาชญากรกชิงวิ่งราวในปีนี้เพิ่มขึ้น ๖๐ เปอร์เซ็นต์” นายธอมัส ฟุลเลอร์ รายงาน

“ไม่มีใครอยากยิ้มอีกแล้วละ” สมเพชร พิมศรี พ่อค้าผลไม้ในตลาดหลังวัดอรุณฯ ตอบนักข่าวต่างประเทศ “ชีวิตทุกวันนี้เครียดมาก ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง มันรู้สึกเหมือนว่าจะทำอะไรๆ ก็ไม่ได้ผลสักอย่างอีกต่อไป”
 
แม่ค้าผักแถวฝั่งธนฯ
“ประเทศไทยเคยถือคบเพลิงนำหน้าเพื่อนบ้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในด้านเสรีภาพและความรุ่งเรือง” บทความกล่าว “แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยมองดูเพื่อนบ้านด้วยความชื่นชม ไม่อาจดูแคลนอีกต่อไป”

“ทางตะวันตกมองเห็นสัญญานของประชาธิปไตยเบ่งบานในพม่า จากชัยชนะของนางอองซาน ซูจี ต่อคณะทหารที่กดขี่เธอมาหลายต่อหลายปี ทางตะวันออกเศรษฐกิจของลาว กัมพูชาและเวียตนาม แสดงความแกร่งกล้า และดึงดูดการลงทุนของต่างชาติไปจากไทย”

“เราเองถอยหลังเข้าคลอง แต่พวกเขาก้าวไปข้างหน้า” เป็นความเห็นของสมร ธุรพันธุ์ พ่อค้าวัย ๕๑ ปี คนขายก๋วยเตี๋ยวรถเข็นที่ใช้มอเตอร์ไซค์ลากไปตามท้องถนน

“วีระ ธีรภัทร นักจัดรายการวิทยุที่ได้รับความนิยมสูงคนหนึ่งบ่นว่า ทางเดียวที่จะให้ไม่สลดหดหู่ได้ ต้องไปเสียจากที่นี่ ไปเที่ยวต่างประเทศสักพัก ผมไม่รู้ว่าจะทนไปได้นานแค่ไหน สงสัยต้องย้ายหนีเร็วๆ นี้” เป็นอีกข้อมูลดิบที่นักข่าวนิวยอร์คไทม์ได้มา แต่อาจหาได้ยากจากศื่อในประเทศ

แม้ว่าในภาคส่วนของผู้มีอันจะกินไม่ได้แห้งเหี่ยวไปเสียทั้งหมด ตามมอลและย่านธุรกิจหรูยังมีคนไปเดินเที่ยว ซื้อหา และรับประทานอาหารกันเนืองแน่น แต่นายฟุลเลอร์ชี้ว่า ฉายาประเทศไทยเคยเป็นเศรษฐกิจ เท็ปลอนนั้นอ้างอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว
แถวคลองสาน แผงร้านค้าปิดกันระนาว

แม้แต่นายสมคิด จาตุรศรีพิทักษ์ อดีตรัฐมนตรีที่ คสช. นำเข้ามาเป็นกูรูเศรษฐกิจคนใหม่ ก็ยังเคยพูดไว้ในปาฐกถาแห่งหนึ่งว่า “ประชาชนรู้สึกเศร้าหมองเก็บกด เขาเปรียบเปรยประเทศไทยว่าเป็น ผู้ป่วยที่ต้องยืนสู้กับลมหนาว”

“แต่การยึดครองของคณะทหารดูจะไม่มีการสิ้นสุด และกองทัพก็ดีแต่คอยโต้เสียงวิพากษ์ ควบคุมตัวพวกโปรเฟสเซอร์ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และนักศึกษา แล้วจัดการคนเหล่านี้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ปรับทัศนคติ”

บทความกล่าวถึงการเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังของผู้ต้องหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์ ๓ คนเมื่อเร็วๆนี้ มีเสียงระบายความอึดอัดตามโซเชียลมีเดียว่าขณะนี้ประเทศชาติปราศจากแนวนำทาง

การปกครองโดยทหารกลับย้อนแย้งให้สาธารณะเกิดความหวาดกลัว ตามข้อมูลของทางการตำรวจ จำนวนอาชญากรรมลักขโมยและช่วงชิงทรัพย์ในปีงบประมาณนี้มีถึง ๗๕,๕๕๗ รายการ สูงกว่าปีก่อน ๖๓ เปอร์เซ็นต์

จำนวนเพิ่มของอาชญากรรมร้ายแรงมีถึง ๑๗ เปอร์เซ็นต์

ปัญหาเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องปวดหัวประจำวัน โดยเฉพาะในหมู่ผู้ค้าและแรงงานใต้ดิน ธุรกิจสีเทาเหล่านี้ครอบงำถึงสองในสามของแรงงานในแวดวงการค้าของประเทศ

“ทุกๆ เช้าเราต้องบ่นกันเรื่องการทำมาหากินฝืดเคือง” นางรัศมี สีดามัตย์ แม่ค้าขายส้มตำไก่ย่างคนหนึ่งเล่า “แย่ลง แย่ลง แย่งทุกที”

แม้กระทั่งนายหน้าเงินกู้นอกระบบ หรือ loan sharks ที่คิดค่าดอกร้อยละ ๒๐ ต่อพ่อค้าแม่ขายตามตลาดก็ยังบ่น

นายเค. ซิงห์ ฉลามเงินกู้ คนหนึ่งยอมรับกับคุณธอมัสว่าเศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้หมายถึง คนกู้ไปแล้วไม่มีปัญญาใช้คืน
เสื้อ Bike for Dad ขายตามแผงราคาตัวละ ๑๖๐ บาท

ในย่านเสื้อผ้าของกรุงเทพฯ ร้านรวงพากันปิดตัวเองลงเป็นแถว ทองย้อย แพสุวรรณ วัย ๒๙ ปี เจ้าของร้านเครื่องแต่งกายแห่งหนึ่งระบายความรู้สึกว่า ลูกค้าเดี๋ยวนี้จ่ายยาก คิดแล้วคิดอีกก่อนจะตกลงใจซื้อ

“มันเหมือนกับว่าผู้คนแย่งกันแทะกระดูกปลา” แม่ค้าเสื้อพูดถึงเศรษฐกิจไทย “มันเคยเป็นปลาตัวใหญ่นะ เดี๋ยวนี้เหลืออยู่แต่เนื้อติดก้างนิดหน่อย”

ทองย้อยไม่หวั่นที่จะบริภาษณ์คณะฮุนต้า “หนูไม่ฝันที่จะมีรัฐบาลสุดยอดอุดมการณ์อีกแล้วละ พวกเราแค่ต้องการเอาตัวรอดไปวันๆ”


(ถอดเนื้อเรียงถ้อยเป็นไทย จากบทความของนายธอมัส ฟุลเลอร์ ในหนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์ค ไทมส์ เรื่อง ‘Thai Economy and Spirits are Sagging’. http://www.nytimes.com/2015/11/30/world/asia/thailand-economy-tourism.html?smid=tw-share&_r=0)

ไมโครซ้อฟเจอเผือกร้อน องค์กรสิทธิฯ นานาชาติจี้เคยช่วยรัฐไทยจับนักเล่นหุ้นยัดคุก โยง ม.๑๑๒

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สำนักงานใหญ่บริษัทไมโครซ้อฟในสหรัฐมีจดหมายตอบองค์การพิทักษ์สิทธิส่วนบุคคลนานาชาติ (Privacy International) ซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ที่กรุงลอนดอน ต่อกรณีที่องค์กรสิทธิดังกล่าวพยายามขอความกระจ่างในคดีที่ทางการไทยลงโทษจำคุกพนักงานบริษัทหลักทรัพย์คนหนึ่งเป็นเวลา ๖ ปี ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ เหลือ ๔ ปี

เนื่องจากบริษัทไมโครซ้อฟประเทศไทยจัดส่งรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวทางอีเล็คโทรนิคของผู้ต้องหาให้แก่อัยการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการปรักปรำและพิพากษาความผิดผู้ต้องหาระหว่างการอุทธรณ์ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๗

จดหมายตอบของไมโครซ้อฟยอมรับว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ ศูนย์ความปลอดภัยอินเตอร์เน็ต ในสังกัดกระทรวงไอซีทีประเทศไทยได้เรียกร้องให้บริษัทไมโครซอฟประเทศไทยจัดส่งรายละเอียดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บัญชีฮ้อตเมลรายหนึ่ง อ้างว่ากระทำผิดโดยการเผยแพร่ข่าวสารอันทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับความเสียหาย

ไมโครซ้อฟตอบสนองด้วยการจัดส่งให้ตามนโยบายให้ความร่วมมือกับผู้รักษากฏหมายท้องที่ ทั้งในปี ๕๒ และ ๕๗ ซึ่งแจ้งวัตถุประสงค์และสาเหตุถูกต้องตามระเบียบที่ปรากฏ โดยที่เข้าข่าย “อย่างน้อยที่สุดรวมถึงรายละเอียดระดับสูงเกี่ยวกับธรรมชาติแท้จริงของความผิดนั้น”

แต่รายละเอียดที่ได้รับดังกล่าวจากคำร้องขอข้อมูลในประเทศไทยกลับชี้ว่า “ไม่เคยได้รับทราบล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำว่าพัวพันกับการสอบสวนคดีความผิดตามกฏหมายปกป้องมิให้หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”

ทั้งนี้ องค์การพิทักษ์สิทธิส่วนบุคคลได้พยายามขอความกระจ่างจากบริษัทไมโครซอฟประเทศไทยตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๗ ไม่ได้รับการตอบสนอง จึงต้องติดต่อตรงถึงบริษัทแม่ในสหรัฐหลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งเมื่อต้นเดือนนี้

รายงานของ Privacy International ระบุว่าเข้ามาทำการสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างเอาจริง เริ่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ “โดยปกติเป็นที่เข้าใจกันว่าการร้องขอข้อมูลผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตโดยรัฐบาลท้องถิ่นมักจะเกี่ยวกับการสอบสวนคดีก่อการร้ายหรืออาชญากรรมข้ามชาติ

แต่ไมโครซ้อฟยื่นข้อมูลส่วนตัวอันมีความเสี่ยงสูงต่อสวัสดิภาพของผู้ใช้ให้กับรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในไทย โดยเข้าใจผิดว่าเป็นการช่วยเหลือสอบสวนเรื่องข้อมูลไม่ถูกต้องที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นจริงๆ แต่แล้วกลับกลายเป็นการดำเนินคดีต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น”

รายงานการสืบสวนของ Privacy International กล่าวว่า “คดีของนายคธา ปาจริยพงษ์ ผู้ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทำให้หุ้นตกอย่างไม่เป็นท่า เผยให้เห็นวิธีการแอบแฝงของราชการลับไทย...

ทั้งกฏหมายที่ใช้และการสืบสวนสอบสวน ก่อให้เกิดการคุกคามต่อทั้งสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก แม้นายคธาจะถูกตัดสินผิดด้วย พรบ. คอมพิวเตอร์ แต่ก็มีความกังวลกันว่า มีการใช้กฏหมายนี้เป็นตัวแทนด่านหน้าให้กับกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันอื้อฉาว”

(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://privacyinternational.org/node/674)

คดีดังกล่าวศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ตัดสินเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ให้นายคธา ปาจริยพงษ์ พนักงานฝ่ายการตลาดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ตอนนั้นอายุ ๓๖ ปี มีความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ จนเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ

จำเลยใช้ชื่อว่า ‘wet dream’ “ส่งเป็นจดหมายอีเล็คโทนิคส์ (e-mail) จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ทราบข้อความดังกล่าวเข้าใจว่า พระมหากษัตริย์ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลือง และสมเด็จพระเทพฯ ก็เหมือนพระมหากษัตริย์ที่ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลืองพันธมิตร และพระมหากษัตริย์ป่วยหนัก

และ “เจ้าหน้าที่ศูนย์กลางความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบ IP Address พบความถี่จากการเก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสต์คอมพิวเตอร์ของจำเลย ปรากฏว่ามีการกดเข้าเว็บไซต์กว่า ๒๙,๐๐๐ ครั้ง”


โดยเหตุที่จำเลยต่อสู้คดีในระหว่างอุทธรณ์เมื่อเดือนมีนาคม ๕๕ ว่า ระหว่างมีการโพสต์ข้อความตามฟ้อง ตนไปสัมมนาต่างจังหวัด ไม่มีคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ที่จะนำลงข้อความได้ แต่ศาลไม่รับฟังอ้างว่าจำเลยทำงานเกี่ยวกับการลงทุน โดยยึดหลักฐานปรักปรำสามชิ้น

คือ ๑. การสืบสวนโดยปกปิดของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติและสภาความมั่นคงแห่งชาติ สามารถล้วงความลับเชื่อมโยงระหว่างที่อยู่อีเมล stamp816@hotmail.com กับชื่อบัญชีผู้ใช้ Wet Dream ได้ และ ๒. จดหมายรับรองจากธนาคารกรุงไทยยืนยันว่านายคธาเป็นเจ้าของอีเมล stamp816@hotmail.com จริง

ประการที่สามซึ่งมีความสำคัญต่อการตัดสินความผิดผู้ต้องหาเป็นจดหมายจากไมโครซ้อฟประเทศไทย แจ้งรายละเอียดส่วนตัวทางอีเล็คโทรนิคของนายคธา ยืนยันว่าเป็นเจ้าของ IP address : stamp816@hotmail.com

อย่างไรก็ดี รายงานขององค์กรพิทักษ์สิทธิส่วนตัว ซึ่งมีนางอีวา บลูม-ดูแมนเตต์ เป็นผู้ทำการวิจัย ให้ข้อคิดว่า ไอพีแอ๊ดเดรสไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนโดยจำเพาะของบุคคลได้เสมอไป เพราะไม่ได้เจาะจงใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องใด และไอพีหนึ่งใดก็สามารถใช้กันได้หลายคน

ดังคดีของนายคธา เครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาในสำนักงานไม่มีการจำกัดด้วย Password ใครก็ตามอาจที่จะไปใช้ได้ แต่ด้วยจดหมายยืนยันของไมโครซ้อฟว่าเขาเป็นเจ้าของไอพีและอีเมลแอดเดรสที่ถูกกล่าวหา ศาลไทยจึงใช้ข้ออ้างนี้สั่งขังคุกนายคธาดังกล่าว

นี่อาจถือเป็นความผิดพลาดของไมโครซ้อฟ ในความยำเกรงรัฐบาลเผด็จการท้องถิ่นมากเสียจนทำให้สิทธิของมนุษยชนธรรมดาถูกละเมิด นางอีวา บลูม-ดูแมนเตต์กล่าวถึงคดีคล้ายคลึงกันเมื่อสิบปีที่แล้ว เมื่อเว็บไซ้ท์ยาฮูยอมส่งมอบไอพีผู้ใช้คนหนึ่งให้แก่รัฐบาลจีน

ก่อนการประท้วงครั้งใหญ่ที่จตุรัสเทียนอันเหมินในจีน กลุ่มสมัชชาประชาธิปไตยเอเซียได้ส่งคำเตือนรายการคำสั่งเซ็นเซอร์ออกไปอย่างแพร่หลาย ยาฮูปฏิบัติตามการเรียกร้องของทางการส่งไอพีแอดเดรสของนายชี เต๋า นักหนังสือพิมพ์ในฮูนานให้ เป็นเครื่องมือในการจับกุมและดำเนินคดี ตัดสินจำคุกนายชี เต๋า ๑๐ ปี

คดีในครั้งนั้นเป็นที่วิพากษ์โจมตีอย่างแรงโดยชุมชนตะวันตกต่อยาฮู ซึ่งแก้ตัวว่ารู้เท่าไม่ถึงการ “นี่เป็นสิ่งที่รับไม่ได้อย่างสุดๆ อีกครั้ง สิบปีให้หลัง” นางอีวากล่าว

“ที่บรรษัทยักษ์ของสหรัฐอีกแห่งหนึ่งยอมจำนนอย่างมืดมนต์ต่อข้อเรียกร้องของผู้ปกครองที่กดขี่...เมื่อไหร่กันที่ การแพร่หลายข่าวสารไม่ถูกต้องมีความสมเหตุสมผลพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรม” นางอีวาตอบโต้ข้ออ้างของไมโครซ้อฟที่ว่าส่งข้อมูลให้ทางการไทยด้วยเหตุดังกล่าว

“เรายินดีที่บรรษัทข้ามชาติอย่างไมโครซ้อฟปฏิบัติตามกฏหมายท้องถิ่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะใช้เป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงหลักการสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดี (ประเทศไทย) นี้ มันเกี่ยวโยงโดยตรงกับสิทธิในการแสดงออก”


นานาทัศนะต่อ วาทะ "บิ๊กตู่"ลั่นเป็น"แพยนต์"พาประชารัฐถึงฝั่งพร้อมกัน ถ้าใครทำแพแตกก็จมน้ำตายกันไป



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1448623044


** เห้ยๆๆๆ พวกกรูอยู่บ้านกันดีๆ มรึงเสือกเอาปืนมาจี้บังคับพวกกรูให้ลงแพไปกับมรึงงง .. ถึงเวลาจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา พวกกรูออกความเห็นก็ไม่ได้ มรึงตวาดแว๊ดดๆๆ ... พอแพจะแตกเสือกจะให้พวกกรูมารับผิดชอบ สัสละ!!

ใครอยากให้มึงมาพากูลงแพเสือกสาระแหน่อยากมาเป้นผู้บังคับแพความสามารถก็ไม่มีความฉลาดก็ต่ำๆมึงมีอย่างเดียวคือกำลังที่บังคับคนในแพเอาเปรียบบางกลุ้มที่ไม่เห้นด้วยกับมึง..มึงสมควรเป้นผู้นำไหมไอ้สัส

ลุงพูดอย่างนี้เหมือนจะเอาตัวรอดคนเดียวนะสิ..ลุงรู้มั๊ยว่าถ้าคนต่อเรือไม่มีฝีมือในการต่อเรือนะ โอกาสเรือแตกมันมีสูงมากเลยนะครับลุง

บ้ากันไปใหญ่แล้วประเทศไทย

หันหลังกลับ.มึงไปไหนก็ไป

อ้าวแล้วกัน ตอนนี้ผมอยู่บนแพหรือเนี่ย

ดูซิใครจะติดเชื้อในกระแสเลือดรายต่อไป

ยิ่งวันยิ่งขำลุงอ่ะ

อ้าวเมื่อก่อน เป้นเรือแปะตอนนี้เหลือแค่แพ สะแล้ว อีกหน่อยคงเป็นขอนไม้ละมึง

ปีหน้าคงได้จมน้ำตายกันแน่ๆๆค่ะ

เรือเหาะดีกว่ามั้งท่านผู้นำ แพยนต์ไม่ไหวหรอก

อายตัวเองบ้างนะ

ก่อนจะจมน้ำตาย ไม่มีจะแดกตายก่อน ไปถามไอ้พวกทำสวนยางดู

ไอ้ ตู่ มันบ้าอำนาจเลยเพี้ยน ประเทศเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่เรื่อแป๊ะหรือแพอะไรของมัน ตอนนี้มันใช้อาวุธกับความหยาบช้ามายึดประเทศ คนไทยเขาต่อสู้และกำลังรอให้ตัวมันกับพรรคพวกล่มสลาย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรประเทศไทยก็ไม่ล่มสลายไปกับมันแน่นอน ! WAIT AND SEE.


เมื่อรัฐบาลทหารด้อยความสามารถในการรับมือเรื่องอื้อฉาว





เมื่อรัฐบาลทหารด้อยความสามารถในการรับมือเรื่องอื้อฉาว

ปกติ ทหารก็รับมือเรื่องอื้อฉาวไม่เป็นอยู่แล้ว ยิ่งต่อล้อต่อเถียงยิ่ง go so big ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระทั่งเรื่องเล็กก็สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่

เรื่องราชภักดิ์ยิ่งหนักเข้าอีก แม้อันที่จริง เรื่องเงินบริจาคอาจชี้แจงได้ไม่ยาก (แสดงบัญชีสิครับ รับมาเท่าไหร่จ่ายไปเท่าไหร่ แต่งบัญชีก็ได้ไม่มีใครกล้าแย้งหรอก 55)

แต่ปัญหาที่ชี้แจงไม่ได้คือ ทำไมผู้การโจ้ เสธโต โดน 112 นี่เรียกว่า 112 เข้าตัวแล้วพูดไม่ออก ใช้กับคนอื่นไปทั่ว พอลูกน้องคนสนิทโดนเอง อุดมเดชจะชี้แจงยังไง โดนกลั่นแกล้ง? ไม่ได้รับความเป็นธรรม? 112 เป็นอาวุธทางการเมือง? ชาวบ้านหัวเราะกลิ้งชักดิ้นชักงอ

เมื่อคุณบอกว่า 112 ศักดิ์สิทธิ์นัก แล้วลูกน้องมือขวามือซ้ายโดนทั้งคู่ แล้วคนเป็นนายจะยังเป็น รมช.กลาโหมอยู่ได้ไง ไม้กายสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายชี้เข้าหาตัว

เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาขัดแย้งอะไรกันข้างใน แต่เมื่อเล่นงานกันมาถึงขั้นนี้ จะมาหยุด "ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน" ได้ไง

นี่จึงเป็นประเด็นที่รัฐบาล คสช.เองก็ไม่สามารถเคลียร์ได้

เล่นกันเองจน คสช.สะดุ้ง รัฐบาลสะเทือน แล้วจู่ๆ วกมาหาที่ลง "ขอนแก่นโมเดล" ตำรวจแก่ คนติดยา คนติดคุก จะปล้นค่ายทหาร อ้าว นี่จะจับเครือข่ายบ่อนทำลายความมั่นคงอีก แล้วก็ส่งรถฮัมวี่ไปคุมหน้าบ้านณัฐวุฒิ (ตลกประจานตัวเองเปล่าๆ) ขณะที่ไอ้ตู่ ไอ้เต้น จะระดมเสื้อแดงไปเที่ยวอุทยานราชภักดิ์ (ถ้าไม่ให้เข้าละก็เป็นเรื่อง ห้ามเข้าได้ไง)

โชคดีอย่าง ประยุทธ์ไม่อยู่ ไม่ได้ใช้ปากอีกหลายวัน

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1448792279
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx…


Atukkit Sawangsuk

...

อะไรคือจุดอ่อนของทหาร



วัฒนธรรมทหาร คือนาย-ลูกน้อง ตามสายการบังคับบัญชา นายฟังลูกน้องรายงาน ลูกน้องก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง มีแต่เอาใจ ไม่ประเมินสถานการณ์ที่เป็นจริงให้ฟัง ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งเหลิง ยิ่งเหินห่างความเป็นจริง ยิ่งประเมินผิด

ยกตัวอย่าง พล.อ.สุจินดา คราประยูร นี่คือนายทหารที่ฉลาดมากนะ เรียนเก่ง สอบติดหมอจุฬาฯ แต่เรียนปีเดียวออกไปเข้าเตรียมทหาร สอบได้ที 1 รร.เสธ. ยังไม่นับประสบการณ์ทางการเมือง เพราะ จปร.5 คลุกอยู่กับการเมืองมาสิบกว่าปี สุขุม นุ่มลึก รัฐประหารแล้วรู้ดีว่ารัฐบาลน้าชาติขายฝันให้ประชาชนร่ำรวย จึงไปเอาอานันท์มาเป็นนายกฯ ชูภาพทันสมัย

ว่าที่จริง บิีกสุเป็นคนที่น่าเสียดาย ถ้าไม่มาผิดวิถีทาง "เสียสัตย์เพื่อชาติ" แกเป็นคนเก่ง เป็นนักบริหารที่ดีได้ แล้วก็เป็นคนที่-ตามปกติไม่คับแคบนะ เพียงแต่ตอนนั้นเชื่อมั่นในความเข้มแข็งของ จปร.5 มากไป แล้วก็มีโมหะ คือมองไม่เห็นเจตจำนงประชาชน มองเห็นแต่บิ๊กจิ๋วกับมหาจำลอง (จปร.7 ไม้เบื่อไม้เมา) ว่าเป็นตัวร้าย เล่นเล่ห์หลอกคน (แหม่ ถึงวันนี้มองย้อนภาพจิ๋ว ประสงค์ สุ่นฯ จำลอง ในพฤษภา 35 ก็คงเข้าใจนะว่าสุจินดามองยังไง อดข้าวแล้วยังขอมติเลิกอดได้ แถมยังมีใครไม่รู้ สร้างสถานการณ์เผา สน.นางเลิ้ง)

แต่สุจินดาประเมินประชาชนผิดไง ไอ้พวกข่าวทหาร พวกสายบังคับบัญชาสอพลอนายทั้งหลาย พวกแวดล้อมใกล้ชิด ฯลฯ รายงานผิดๆ เข้าไป คนมีอำนาจมาก อยู่ในที่สูงนานๆ จะไม่ได้ฟังความจริง ไม่เหมือนตอนที่ยังไม่มีอำนาจมาก ยังมีความสุขุมใคร่ครวญ พอสุจินดาระเบิดอารมณ์กลางสภา ก็เหมือนจุดไฟราดกองเพลิง คนยิ่งแห่ออกมาม็อบ แล้วอิสระพงศ์ หนุนภักดี (พี่เมีย) ก็โคตรมุทะลุ คิดว่าใช้กำลังบุกจับจำลองเรื่องจะจบ ที่ไหนได้ จบเห่

ทหารยุคนี้ เทียบ จปร.5 เทียบความฉลาดกับสุจินดา ไม่ติดฝุ่นนะครับ เพียงแต่สถานการณ์มันเอื้อ สังคมมาถึงทางตัน คนที่มีพลังในสังคมระดับบนไม่เห็นทางออก เกลียดกลัวทักษิณ จนหลอกตัวเอง ขณะที่คนรักประชาธิปไตย ก็พ้นยุคที่จะปลุกกันไปนองเลือดไล่เผด็จการ จำต้องยอมทน

ทหารยุคนี้อยู่ได้ด้วยอำนาจเข้มข้นแบบสฤษดิ์ บวกกับมีคนเข้าไปช่วยเยอะ (แต่ตอนนี้ก็ถีบคนช่วยออกมาเยอะ) ตอนแรกๆ ยังดูเหมือนจะสรุปบทเรียนจากปี 49 บ้าง แต่ไปๆ มาๆ อยู่ในอำนาจมาก อยู่ในอำนาจนาน ก็ต้องถามหน่อยละว่า ยังมีลูกน้องหรือผองเพื่อนคนใกล้ชิดเตือนสติได้หรือเปล่า

วันก่อนเห็นมีคนเตือนยังหงุดหงิด "ทำไม ให้หรี่ลงหรือ ไม่ต้อง ฉันมีสติของฉัน"

Atukkit Sawangsuk

เทศกาล ลอยแพ... ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ไม่เอาตัวรอด (อิอิ)




Credit FB
พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล

ooo



ลอยแพ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร



ที่มา มติชนออนไลน์

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12/มติชนรายวัน 29 พ.ย.2558

เทศกาล "ลอยกระทง" ผ่านไป

เทศกาล "ลอยแพ" จะตามมาหรือไม่

น่าระทึกใจอย่างยิ่ง

ด้วยโครงการ "ปั่นเพื่อแม่" และโครงการราชภักดิ์ อยู่ในสภาวะบานปลายอย่างยิ่ง

เป็นภาวะบานปลาย ที่ลึกเข้าไปถึง"ข้อเท็จจริง" สำคัญมากขึ้นทุกที

ข้อมูลของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ระบุว่าโครงการราชภักดิ์มิใช่เรื่องเงินบริจาคของประชาชนเท่านั้น

หากแต่เกี่ยวพันกับงบประมาณของรัฐบาลด้วย

ในเบื้องต้นก็คืองบกลาง 63 ล้าน ถือเป็นกุญแจสำคัญ ที่เปิดประตูให้ สตง.ต้องเข้าไปตรวจสอบตามหน้าที่

และพลอยทำให้ ป.ป.ช., ปปท. แม้กระทั่ง ศอตช.-ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เคยละล้าละลัง อยู่เฉยไม่ได้ ต้องขยับเข้ามามีบทบาท

มิเช่นนั้นอาจจะถูกมองไปในทางไม่ดี

ประกอบกับการที่ พ.อ.คชาชาต บุญดี และ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ ตกเป็นผู้ต้องหาอย่างเป็นทางการ ในคดีแอบอ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์ ก็ยิ่งทำให้เรื่องเขม็งเกลียวขึ้น

แม้ทั้ง 2 คนจะหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

และยังไม่สามารถเชื่อมโยงถึงโครงการราชภักดิ์ได้

แต่ก็ทิ้ง "อะไรๆ" ให้สังคมได้คิดและติดตามเรื่องได้ชัดเจนขึ้น

อย่าง พ.อ.คชาชาต ที่ปัจจุบันถูกถอดยศเป็นนายคชาชาตแล้ว ยังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) อายัดเงินเอาไว้ถึง 40 ล้านบาทนั้น

เงิน 40 ล้านบาทที่พบในเบื้องต้น น่าจะเป็นเบาะแสสำคัญ

เพราะสำหรับนายทหารยศพันเอก และมิได้ปรากฏการทำธุรกิจอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ยากยิ่งที่จะมีทรัพย์สินได้มากมายขณะนี้

ส่อถึงภาวะ "ร่ำรวยผิดปกติ"

เป็นความผิดปกติ ที่หน่วยงานซึ่งเกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตน่าจะเคลียร์ให้ชัดเจน

จะเกี่ยวข้องแค่โครงการ "ปั่นเพื่อแม่" เท่านั้น หรือจะโยงถึงโครงการราชภักดิ์ ที่เคยมีบทบาทสำคัญในการดำเนินการหรือไม่

นี่เป็นปริศนา ที่สังคมสงสัยและอยากให้มีคำตอบ

เช่นเดียวกับ พล.ต.สุชาติ ที่อึมครึมมาโดยตลอด หลังจากตกเป็นผู้ต้องหาชัดเจน คงจะเริ่มปรากฏข้อมูลและหลักฐานออกมาให้ทราบ

ป.ป.ง.คงต้องเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินอย่างที่ตรวจสอบนายคชาชาต ซึ่งนั่นอาจจะได้อะไรดีๆ อีก

ต้องไม่ลืมว่า อดีตนายทหารทั้งสองอยู่ในศูนย์กลางของอำนาจ ทั้งในกองทัพ ในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และในรัฐบาลมาโดยตลอด

ซึ่งก็มีคำถามว่า พฤติกรรมอันไม่ชอบทั้งหลาย จำกัดไว้เฉพาะตัวเท่านั้นหรือไม่

หรือจะพาดพิงถึงบุคคลอื่นด้วย

และบุคคลอื่นนี้กระมัง ที่ทำให้เรื่องนี้บานทะโรค ไปสู่ประเด็นการเมืองอันแหลมคม

นั่นคือท่าทีของพรรคเพื่อไทย และคนประชาธิปัตย์ จี้ให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ในฐานะ "นาย" และผู้ดำเนินการโครงการราชภักดิ์ลาออก เพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งอื้อฉาวที่เกิดขึ้น

ธงจริยธรรมถูกย้อนเกล็ด ชูเหนือความผิดตามกฎหมายแล้ว

แถมยังเริ่มมีประเด็นพาดพิงไปถึงคนที่สูงกว่าอีกด้วย

หากไม่เร่งดับไฟที่เริ่มลาม อาจจะวุ่นไปกว่านี้อีก

แม้ตอนนี้จะมีเสียงเข้มๆ จากทำเนียบในทำนองแข็งขืน ไม่เห็นพ้อง

แต่กรณี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล กรณีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็เป็นตัวอย่างของการ "ต้องเสียสละ" มาแล้ว

ดังนั้น ในกรณีนี้จึงอาจจะมี "กระทงลายพราง" โผล่ออกมานอกเทศกาล เพื่อลอยใครบางคนไป ในนามแห่ง "การรับผิดชอบ"

เพื่อช่วยลดน้ำหนักแห่งความอื้อฉาวลง

ถึงได้บอก แม้เทศกาลลอยกระทงผ่านไปแล้ว

แต่เทศกาลลอยแพ อาจกำลังจะมาอย่างน่าระทึกใจยิ่ง

หมู่บ้านไม่ใชค่ายทหาร แกนนำนปช. เผยโดนทหารตรึงกำลัง ทางเข้า-ออกหมู่บ้าน หลังประกาศเตรียมเดินทาง ไปอุทยานราชภักดิ์




ปิดล้อมไม่ให้เราไป แค่คิดก็พังแล้ว

จตุพร เผยโดนทหารตรึงกำลัง
ทางเข้า-ออกหมู่บ้านเหมือนกัน หลังประกาศเตรียมเดินทาง
ไปอุทยานราชภักดิ์พร้อม ณัฐวุฒิ

การทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัย

นาย จตุพร กล่าวว่า หลังจากตกลงกับนายณัฐวุฒิ ว่าจะร่วมเดินทางไปตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์

เมื่อเช้าวันนี้มีทหารมาตรึงทางเข้าออกหมู่บ้าน
ของตนและหมู่บ้านของนายณัฐวุฒิ

แสดงถึงการสกัดหรือขัดขวางไม่ให้ไป

แต่พวกตนจะเดินทางไปตามเดิม ถ้าไม่ไปแล้วจะยิ่งทำให้ประชาชน
เกิดความสงสัย ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลยิ่งขึ้น แต่เมื่อทหารมาปิดหมู่บ้านยิ่งไปกันใหญ่

ทางที่ดีกองทัพควรร่วมเดินทางไป
แบบฉันท์มิตรด้วยกัน

การกดดันปิดล้อมไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์
เพียงคิดก็พังแล้ว
เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสี
แต่เป็นหน้าที่พสกนิกรต้องปกป้องราชภักดิ์
ถ้าฉลาดควรปล่อยให้เป็นไปตามปกติ
พวกผมสักการะบูรพกษัตริย์ก็กลับ ถ้ามีการกระทำที่นอกเหนือจากนี้

จะกลายเป็นชนวนจนท่านเอาสถานการณ์ไม่อยู่

การมาขัดขวางไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์นั้น

ถามว่า ท่านปกป้องสถาบันหรือปกป้องตัวเอง

ถ้าปกป้องสถาบันต้องร่วมมือกัน ไปด้วยกัน

สิ่งที่ตนและนายณัฐวุฒิ
ต้องไป อุทยานราชภักดิ์นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของตัวเอง เพราะในวันนี้ประชาชน พสกนิกร ไม่ว่าทหาร หรืออาชีพใดก็ตาม ล้วนไม่สบายใจกรณีทุจริตราชภักดิ์ และประหลาดใจกลับมาขัดขวาง จึงสงสัยว่าการไปตรวจสอบ
กลายเป็นภัยความมั่นคงหรืออย่างไร ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์
ควรจะอำนวยความสะดวก
ในการเดินทาง

เพราะไก่อู เคยแถลงว่า จะอำนวยความสะดวกประชาชนทุกกลุ่ม
ในการตรวจสอบมาแล้ว

แต่เมื่อตนจะเดินทางไป
กลับส่งทหารมาปิดหมู่บ้าน

วันนี้ ประชาชนเกิดความเชื่อ
และสงสัยการทุจริตอุทยานราชภักดิ์อย่างมาก แต่รัฐบาลไม่พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส หากประชาชนสงสัยควรต้องทำความจริง
ให้ปรากฏชัด แต่ที่ผ่านมาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง ปัดการรับรู้การจัดสร้างว่า ไม่มีเงินงบประมาณแผ่นดิน ใช้แต่เงินบริจาคเท่านั้น จนเมื่อนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ระบุว่า มีงบประมาณแผ่นดินจำนวน 63 ล้านบาทไปสร้างอุททยานราชภักดิ์

สื่อทั้งกระแสหลักและฝ่ายเชียร์รัฐบาล
ล้วนรายงานการทุจริตราชภักดิ์ไปกันใหญ่โต
และมีการหาข้อเท็จจริง
จากโรงหล่อตามสัญญาจ้าง ความกังขาในการทุจริตยิ่งมีมากขึ้นทั้งการหักค่าหัวคิว การใช้เงินบริจาค แต่กลับมีการสร้างข่าว
ขอนแก่นโมเดลขึ้นมากลบกระแส
ความสนใจในกรณีอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งคงไม่สามารถปกปิดได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่และมีความสำคัญ
ในความรู้สึกของประชาชน





ที่มา FB


บรรจบ ขุมทอง


...



วันที่ 29 พ.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ข้อความว่า “ผมจะไปอุทยานราชภักดิ์ พอข่าวออกไปงานก็เข้า ตั้งแต่ตีห้าวันนี้ รถทหาร 4 คันมาที่บ้าน ตอนนี้ก็ยังวางกำลังอยู่ริมถนนหน้าหมู่บ้าน 4 คน ป้อมยาม 8 คน ศาลพระภูมิ 6 คน จอดรถหน้าบ้าน 1 คัน ทำไมท่านใช้อำนาจกันแบบนี้ ให้รู้กันไปว่าการถามหาความจริงต้องมีอันตราย ผมยืนยันนะครับ จะเอายังไงกับผมก็เอา แต่...ผมจะไปอุทยานราชภักดิ์”

จากนั้นยังโพสต์อีกว่า “มากันตั้งแต่ตีห้า ท่าทีเหมือนเตรียมปักหลักค้างคืน พูดกันแบบผู้ชายนะครับ มีอะไรคุณมาว่ากับผม ลูกเมียผมไม่เกี่ยว ผมเป็นผมแบบนี้ พรุ่งนี้ผมจะไปอุทยานราชภักดิ์”

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1448770570

...



วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 29, 2558

'คณิน' ยก7เหตุผล! ประเทศไทยไม่ต้องมีศาลรัฐธรรมนูญ




อดีต ส.ส.ร. ปี40 ยก7เหตุผล ชี้ประเทศไทยไม่ต้องมีศาลรัฐธรรมนูญ


ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
29 พฤศจิกายน 2558

นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. ปี 40 ได้กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คิดจะเพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญในการดับวิกฤต และผ่าทางตันของประเทศ แทนที่ คปป. ตามร่าง ฉบับนายบวรศักดิ์ ฯ ว่าเท่าที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจ และใช้อำนาจ ระหว่างการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็นับว่ามาก เสียจนกลายเป็น “Super Court” ไปแล้ว ยังไม่พออีกหรือ? 

จะเพิ่มอำนาจกันไปถึงไหน? และที่อ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีบทบาทในการดับวิกฤตและผ่าทางตันของประเทศนั้นน่ะ เอาเข้าจริงศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจแบบไม่ระมัดระวังนั่นแหละ จะเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตและความขัดแย้งเสียเอง อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งหลายหนในระหว่างที่ใช้รัฐธรรมนูญปี 2550

นายคณิน กล่าวว่า ส่วนที่อ้างว่าถ้าให้ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่นี้ต่อไปทหารจะได้ไม่ปฏิวัติอีกนั้น ก็คงเป็นข้ออ้างเดียวกันกับที่เมื่อตอนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ ฯ ที่ให้ผู้บัญชาการสี่เหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญในนามของ คปป. นั่นแหละคือพูดแบบ “ขอไปที” 

เพราะความจริงก็รู้ๆ กันอยู่ว่าจะร่างรัฐธรรมนูญแบบไหนก็ไม่มีทางป้องกันการปฏิวัติได้ นายมีชัยฯ เอง ก็ร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายฉบับ ก็ไม่เห็นว่าจะมีฉบับไหนที่ป้องกันการปฏิวัติได้ เพราะฉะนั้น อย่ามา หลอกกันเสียให้ยากเลยว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการปฏิวัติ

นายคณิน ยังกล่าวต่อไปด้วยว่า ความจริงประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ เพราะประเทศที่มีศาลรัฐธรรมนูญนั้น ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นสาธารณรัฐ เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐฝรั่งเศส สาธารณรัฐออสเตรีย และสาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น ซึ่งเขามีความจำเป็นต้องควบคุมร่างกฎหมายของรัฐหรือแคว้นต่างๆ มิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐหรือของสหพันธ์ 

แต่สำหรับประเทศที่เป็น “รัฐเดี่ยว” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เป็นราชอาณาจักร อย่างเช่นประเทศไทยนั้นไม่จำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับจะบัญญัติไว้ว่า

“ร่างพระราชบัญญัติจะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ ก็แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา” ซึ่งหมายความว่า เมื่อร่างพระราชบัญญัติได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า จะทรงเห็นชอบด้วยหรือจะทรงพระราชทานคืนมา ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีองค์กร คณะบุคคล หรือแม้แต่ศาลมาคั่นกลาง เพราะเป็นเรื่องที่พระมหากษัตริย์ ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา

นอกจากนั้น นายคณิน ยังได้กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ กรธ. ชุดที่มี นายมีชัย ฯ เป็นประธาน จะทบทวนและไตร่ตรองดูให้ดีว่าประเทศไทยสมควรที่จะมีศาลรัฐธรรมนูญต่อไปหรือไม่ ?

ประการแรกนั้น ในประเทศไทย ศาลปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นศาลการเมือง ซึ่งตัดสินเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้น การมีศาลรัฐธรรมนูญ จะเท่ากับเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มาเกี่ยวข้องพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองโดยใช่เหตุหรือเปล่า?

ประการที่สอง ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว และเป็นราชอาณาจักร ไม่มีความจำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญมาคั่นกลาง ระหว่าง รัฐสภากับพระมหากษัตริย์แต่ประการใด

ประการที่สาม การมีศาลรัฐธรรมนูญมาพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ของร่างพระราชบัญญัติ ที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว เป็นการขัดแย้งกับบทบัญญัติมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางศาลรัฐธรรมนูญ

ประการที่สี่ ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้วขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและเป็นสาระสำคัญ มีผลทำให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นตกไปทั้งฉบับ ก็จะกลายเป็นว่า “ร่างพระราชบัญญัติที่ถึงแม้จะได้รับคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภาแล้ว จะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายไม่ได้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ยินยอม” ซึ่งจะทำให้ระบบการเมืองของไทยผิดเพี้ยนไป ทั้งจากหลักประชาธิปไตย และทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจ

ประการที่ห้า ถ้าให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร และประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ย่อมขัดแย้งกับหลักการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกันระหว่างอำนาจอธิปไตยสามฝ่าย อย่างชัดเจน

ประการที่หก ถ้าให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจวินิจฉัยว่าการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่ จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

และประการที่เจ็ด ถ้าให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยว่า สิ่งที่ไม่มีบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 7 หรือไม่ ก็จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นองค์กรเหนือรัฐธรรมนูญไปโดยปริยาย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น รัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็ไม่มีความหมาย

เหตุเกิดที่กรุงปารีส ... รูปนี้หัวโตหล่อแฮะ ท่านพี่เสื้อสีเทาก็หน้านวลชึ้นนะ พี่จรัลท่าจะเพิ่งตื่นนอน




สศษ. สศจ. จรัล in Paris.
Sulak Sivaraksa

19 hrs ago
  

คสช. หน้าแตก หมอไม่รับเย็บ ผู้ต้องหาที่ถูกหมายจับ เตรียมป่วน ‘ไบ๊ค์ฟอร์แด๊ด’ ยังอยู่ในเรือนจำตั้งแต่ 2557 จะมาป่วนเมืองได้ไง?!?




โอละพ่ออีกแล้ว จับผู้ต้องหาเตรียมป่วน ‘ไบ๊ค์ฟอร์แด๊ด’ ใส่ไคล้เสียละมั้ง

ที่จับได้สองในเจ็ด คนหนึ่งเห็นท่าไม่สามารถคิดการใหญ่ได้ อีกคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยซ้ำ

ราย จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ ซึ่งอายุ ๖๐ ปีเคยโดนข้อหา ‘ขอนแก่นโมเดล ๑’ ส้องสุมก่อวินาศกรรมเมื่อปลายพฤษภา ๕๗ ได้ประกันตัวออกมาเมื่อปลายสิงหาคมนี้เอง

ตำรวจบอกว่าได้รับข้อมูลจาก คสช. จ่าประธิน “ยังคงเคลื่อนไหว ในพฤติการณ์อย่างเดิมๆ”

(http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php…)

แต่ข้อมูลของทนายความวิญญัติ ชาติมนตรี ซึ่งเข้าไปสอบถามจำเลยในเรือนจำ มทบ.๑๑ เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

“รวมทั้งไม่มีศักยภาพด้วย เพราะลำพังแค่การดำรงชีพหลังจากได้รับประกันตัวมาในคดีขอนแก่นโมเดลก็ลำบากอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่พยายามบังคับให้รับสารภาพในบางเรื่อง ที่เกี่ยวพันกับการพยายามลอบทำร้ายบุคคลสำคัญ แต่เขายืนกรานปฏิเสธ...

เขาถูกจับวันเสาร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน นำตัวมากรุงเทพฯ ทันที การสอบปากคำมีการปิดตาและบังคับให้รับสารภาพ ว่ากำลังมีแผนที่จะลอบทำร้ายคนสำคัญในงาน Bike for Dad แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้กระทำจึงยอมรับไม่ได้

เขาแจ้งว่ามีการเตะและตบที่ใบหน้าเพื่อให้รับด้วย” นี่ไง วิธีการคล้ายที่ทำกับผู้ต้องพม่าคดีเกาะเต่ายังกับแกะ

(http://prachatai.org/journal/2015/11/62667)

ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ก็เอามาจากเนื้อความบนกระดาษบันทึก ๓ แผ่นที่จ่าประธินจดไว้จากรับฟังรายการหลวงตาชูพงษ์ ถี่ถ้วน กับรายการอาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งมักกล่าวถึงทฤษฎีความขัดแย้งในราชวงศ์ จนกระทั่งฝ่ายหนึ่งหมายใจจะวางระเบิดงานสำคัญเพื่อดิสเครดิตอีกฝ่ายหนึ่ง

ทำนองเดียวกับที่มีข้อสังเกตุของ Somsak Jeamteerasakul ที่ก่อให้เกิดการต่อล้อต่อเถียงอย่างหนักในแวดวงนักกิจกรรมประชาธิปไตย ชี้ว่าผู้ต้องคนหนึ่งในรายชื่อ ๙ คนคือนายพิษณุ พรหมสร หรือ ‘แอนตี้’ นักจัดรายการวิทยุออนไลน์ซึ่งออกนอกประเทศไปนานแล้ว ก็มีเนื้อหาบ่อยครั้งที่อ้างทฤษฎีศึกในวังอย่างเดียวกัน

รูปคดีจึงเข้าเค้าว่า คสช. ต้องการให้มีการจับกุม ‘ขบวนการล้มเจ้า’ ขึ้นในช่วงนี้ จึงจี้ชี้แนะตำรวจให้จัดการจ่าประธินโดยพัวพันเข้ากับหลวงตา-สุรชัย-แอนตี้ ซึ่งล้วนสื่อสารบนไซเบอร์ต่อต้าน คสช. และรัฐบาลทหารตลอดมาไม่หยุดยั้ง

ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะใช้วิธี ‘จับแพะชนแกะ’ ไม่แพ้ประดิษฐกรรม ‘ผังล้มเจ้า’ ของ เสธ.ไก่อู เลยเชียว




ดูได้จากผู้ต้องอีกคนหนึ่งที่จับมา นายณัฐพล ณวรรณ์เล อายุ ๒๖ ปี เคยเป็นผู้ต้องโทษมียาบ้าสองเม็ดในครอบครองที่พบกับจ่าประธินในคุก เขาพ้นโทษออกมาช่วยพ่อแม่ขายอาหารตามสั่งตั้งแต่พฤษภาคมปีนี้

จู่ๆ มีกำลังทหารสามคันรถไปตรวจค้นอาวุธระเบิดที่บ้าน เมื่อไม่พบอะไรก็เอาตัวเขาไป บอกกับมารดาผู้ต้องหาว่า “ขอยืมลูกชายหน่อยเด้อ เดี๋ยวเอามาคืน”




ซ้ำร้าย ความจริงผุดขึ้นมาใหม่อีกกรณี ผู้ต้องหาหนึ่งในเก้าที่ชื่อ นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม อายุ ๔๙ ปี ถึงจะมีตัวตน ไม่ไปต่างประเทศ แต่ไม่มีทางมาร่วมวางแผนก่อการไม่ดีครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะเขาติดอยู่ในคุกมาตั้งแต่เดือนพฤษภา ๕๗

คนที่ออกมาเบิกตาคณะผู้ปกครองและสาธารณะให้รู้แจ้ง เป็นทนายในคดีขอนแก่นโมเดลภาคแรก นางเบญจรัตน์ มีเทียน ชี้แจงว่านายธนกฤตซึ่งเคยเป็นผู้ต้องหาภาคแรกนั้น หลังจากประกันตัวออกมาแล้วก็โดนจับยัดคุกใหม่ในคดีปลอมแปลงเอกสารเพื่อขายรถยนต์ของอดีตภรรยา คดีมะโนสาเร่ที่ศาลตัดสินจำคุกสองปี

(http://www.thairath.co.th/content/542607)




ทีเด็ดไปกว่านั้น ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐซอกแซกเซ้าซี้ โทรไปถามพี่ไก่อู แก้วกำเนิด ว่าอ้าวทั่น ไหงผังล่าเจ้า ๕๘ นี่มีคนที่ติดคุกอยู่แล้ววางแผนได้หรือ เสธ.สรรเสริญ ก็อื้อๆ อ้าๆ บอกให้ไปถามพี่วินธัย โฆษก คสช. แทนละกัน

พี่พันเอกวินธัย คงจะลอยกระทงสุวารีเพลินไปหน่อย ไม่ได้เกาะติดข่าวจึงต้องโยนกลองไปให้ พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษก สตช. แถลงแทนอีกต่อหนึ่ง

จากที่เห็นในเนื้อข่าวว่างานนี้ตะหาน initiated แม้กระทั่งส่งกำลังไปลากตัวผู้ต้องสงสัยถึงบ้าน แล้วจึงมา dumped ให้ตำหวด ทั่นโฆษก สตช. จึงตั้งตัวไม่ทัน

“ขอเวลาสองสามวันเตรียมข้อมูล”

โฮ้ย มันช่างลดเลี้ยววกวน เยิ่นเย้อหย่อนยานเสียจริง กระบวนการล่าสลายพวกล้มเจ้าเนี่ย


ไอหยา... แล้วคุณมรึงมาปล้นประเทศทัมมาย... นายกฯไม่แคร์โดนตัด GSP ทั้งที่ไทยส่งออก 7 แสนล้าน (ไม่แคร์ได้งัย!)


http://news.voicetv.co.th/thailand/291918.html

by Wake Up Thailand Wake Up Thailand
28 พฤศจิกายน 2558



ธงชัย วินิจกูล ขึ้นพูด หากจะจัด 40 ปี 6 ตุลาในปีหน้า คาดหวัง อะไร




ธงชัย วินิจกูล ขึ้นพูดเมื่อกี้
ผมฟังแล้วสรุปความได้ดังนี้
.
หากจะจัด 40 ปี 6 ตุลาในปีหน้า
โปรดอย่าคาดหวังมาตรฐานเดียวกับ 20 ปีที่แล้ว
.
เพราะเราไม่ได้อยู่ในภาวะที่เปิดเผยตัวไม่ได้ดังนั้น
แรงขับเคลื่อนที่จะเปิดตัวมันไม่เหมือนก่อน
.
อีกทั้งเราไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือน 20 ปีก่อน
แล้ว อย่าคาดหวังอะไรให้มากนักมีแรงเท่าไหร่ก็จัดกันไป
.
มีแต่คนบอก 6 ตุลา ทีไรก็จัดรำลึกคล้ายเชงเม้งขึ้นทุกวัน
แต่วัตถุประสงค์ของการรำลึกคือการทำให้สังคมไม่ลืม
วิธีการทบทวนให้คนไม่ลืมก็ต้องทำกันอย่างนี้แหละ
.
เราไม่ต้องโทษคนรุ่นใหม่ที่ไม่อินกับ 6 ตุลา
เพราะว่าเราไม่อินกับ 2475 ฉันใด
คนรุ่นใหม่ก็ไม่อินกับ 6 ตุลาฉันนั้น
.
ดังนั้นถ้าจะมีใครที่รำลึกถึงเรื่องนี้คือ
พวกเราที่เห็นเพื่อนเราถูกฆ่าตายมากมาย
.
จึงขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ว่ามันจะเล็กจะใหญ่แค่ไหน
มันก็ไม่มีทางใช้มาตรฐานเดียวกันมาคาดหวังได้
.
สิ่งเดียวที่เราควรจะคิดคือเราจะทิ้งมรดก
อะไรเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไปถ้าเราพอใจแล้ว
เราก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแต่ถ้าใครยังไม่พอใจ
ก็ต้องมาช่วยกันคิด

ที่มา


Chuveath Dethdittharak

ooo

วาทะ ธงชัย วินิจกูล





ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล....
"ถึงสังคมไทยจะเป็นประชาธิปไตยทันทีในวันนี้ พรุ่งนี้ ระบอบการเมืองของเราก็จะฟุบไปอีกนาน .... เพราะกระบวนการยุติธรรมของเรา ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ยึดหลัก ทำผิด ต้องรับผิด จึงสำคัญมาก ไม่ว่าใหญ่โตแค่ไหน ทำผิด ต้องรับผิด"

ที่มา
Janewit Chueasawatee



Thai Voice Media: พบหลายพิรุธ..จับผู้ต้องหา"ขอนแก่นโมเดล"ก่อวินาศกรรมวันปั่นเพื่อพ่อ




https://www.youtube.com/watch?v=L89UZWzHiAg&feature=youtu.be

พบหลายพิรุธ..จับผู้ต้องหา"ขอนแก่นโมเดล"ก่อวินาศกรรมวันปั่นเพื่อพ่อ

jom voice

Published on Nov 28, 2015
นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการกลุ่มนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia กรณีการจับกุมผู้ต้องหาคดีการก่อวินาศกรรม­ทำร้ายบุคคลสำคัญในวันปั่นเพื่อพ่อและ คดี 112 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องหาในกลุ่ม ขอนแก่นโมเดล ว่า กลุ่มขอนแก่นโมเดล ที่พ้นออกมาจากคุก จะอยู่ในการเฝ้าระวังและจับตาจากทหารและตำ­รวจอยู่แล้ว และด้วยกฎหมายที่เข้มงวดของ คสช. เกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มนี้จะรวมตัวกั­นสร้างความปั่นป่วนหรือจะทำร้ายบุคคลสำคัญ ขณะเดียวกันก็ไม่มีการแสดงหลักฐานชัดเจนอะ­ไรตามข้อกล่าวหา จะเห็นว่าหลังจับตัวผู้ต้อง 2 คนในตอนแรกก็มีการตั้งข้อหา 112 เพิ่มนั่นเพราะข้อกล่าวหาเรื่องการก่อวินา­ศกรรมไม่มีน้ำหนักพอ อีกทั้งการกล่าวหาด้วย ม.112 เพื่อไม่ให้มีการประกันตัวใช่หรือไม่ ขณะเดียวกันผู้ต้องหาคนหนึ่งที่มีบอกว่าอย­ู่ในขบวนการนี้ด้วย แต่จริง ๆ แล้ว เขายังอยู่ในห้องขังตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที­่ผ่านมา จึงเป็นไปได้ยากมากที่ จะออกมาจากคุกเพื่อมาร่วมวางแผนก่อวินาศกร­รมตามข้อกล่าวหา จะเห็นว่ามีข้อพิรุธมากมายในการจับกุมครั้­งนี้ ทำให้อาจจะเชื่อได้ว่านี่คือความพยายามที่­จะเบี่ยงเบนประเด็นจาก การตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภ­ักดิ์หรือไม่ และสิ่งที่เป็นกังวลอย่างมากขณะนี้คือ ความปลอดภัยของผู้ต้องหากลุ่มนี้ที่คุมขัง­อยู่ใน มทบ11 ซึ่งอยู่ในเขตทหาร อาจจะไม่ปลอดภัยถึงชีวิต เหมือนอย่าง หมวดเอี๊ยด และหมอหยอง หรือไม่ ดังนั้นขอเรียกร้องให้ คสช.ได้ยึดหลักความยุติธรรมตามนโยบายที่ได­้ประกาศไว้

...

ไทยอีนิวส์ขอเชิญผู้อ่านทุกท่าน แวะเยือนคุณจอม "Home away from home" ณ

บ้านของ "จอม เพชรประดับ"

http://static.thaivoicemedia.com

ooo



ทนายเผย สี่ผู้ต้องหาจากคดีขอนแก่นโมเดลปฏิเสธไม่ได้ทำผิดตามข้อหาหมิ่นสถาบัน หนึ่งในนั้นยังติดคุกขณะเกิดเหตุไม่มีโอกาสเข้าถึงอินเตอร์เน็ต

นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความคดีขอนแก่นโมเดลเปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับบุคคลสี่คนที่ตกเป็นผู้ต้องหาและที่โดนหมายจับในคดีหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112 และเป็นกลุ่มคนที่เป็นผู้ต้องหาในคดีขอนแก่นโมเดลด้วย ทั้งสี่รายล้วนปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันและนำความที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์

ตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้จับกุมบุคคลสองคน ออกหมายจับอีก 7 คนด้วยข้อหาหมิ่นสถาบันและนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในจำนวน 9 คนนี้ มีสี่คนที่เป็นผู้ต้องหาจากคดีขอนแก่นโมเดลอันเป็นคดีเดิมตั้งแต่ปี 2557 ที่บุคคล 26 คนถูกตั้งข้อหาว่าซ่องสุมกำลังพล สมคบกันเพื่อเตรียมก่อการร้าย คดีนี้ผู้ต้องหาอยู่ในระหว่างได้รับการประกันตัว

สำหรับคดีหมิ่นสถาบัน บุคคลที่จับตัวได้แล้วคือจ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาในคดีขอนแก่นโมเดล ส่วนอีกคนหนึ่งคือนายณัฐพล ณวรรณ์เล สำหรับอีกสามคนที่ถูกข้อหาหมิ่นสถาบันและเป็นผู้ต้องหาในคดีขอนแก่นโมเดลด้วย คือนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม นายพาหิรัณ กองคำ นายมีชัย ม่วงมนตรี ในการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ระบุว่า มีความเชื่อมโยงกันระหว่างสองคดีดังกล่าวพร้อมทั้งนำแผนผังแสดงต่อผู้สื่อข่าวด้วยในระหว่างการแถลง

นสพ.กรุงเทพธุรกิจรายงานเมื่อ 27 พ.ย.อ้างการให้สัมภาษณ์พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรลัยเดช ผู้บังคับการแผนงานอาชญากรรม ในทีมสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันบอกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เร่งหาทางจับตัวผู้ที่ถูกออกหมายจับอีก 7 รายด้วยการส่งเอกสารไปตามด่านตรวจคนเข้าเมืองต่างๆ ส่วนที่จับได้แล้วนั้นผลจากการสอบสวนทั้งสองรายเริ่มให้การพาดพิงไปยังบุคคลอื่นๆที่ยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ส่วนนสพ.คมชัดลึกรายงานอ้างแหล่งข่าวระบุว่า เมื่อเวลาประมาณสองทุ่มคืนวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายพาหิรัณ กองคำ หนึ่งในผู้ที่ถูกออกหมายจับได้แล้วที่บึงกาฬ

นายวิญญัติ ทนายความกล่าวว่าตนได้มีโอกาสพูดคุยกับ จ.ส.ต.ประธิน รวมทั้งลูกความจากคดีขอนแก่นโมเดลที่ถูกออกหมายจับตามข่าวรวมสี่คน ทั้งสี่ล้วนปฏิเสธว่าไม่ได้ทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา โดยเฉพาะนายธนกฤตก็ยังถูกจำขังในเรือนจำที่ขอนแก่นซึ่งเป็นคดีอื่นและไม่มีโอกาสได้เข้าถึงคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตแต่อย่างใด ส่วนจ.ส.ต.ประธินบอกว่าไม่เคยคิดจะทำผิดดังที่ถูกกล่าวหา ทนายความกล่าวด้วยว่า ในส่วนของข่าวที่ออกมาว่าผู้ต้องหาเหล่านี้วางแผนจะก่อเหตุ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาศักยภาพผู้ถูกกล่าวหาประกอบด้วยว่าจะทำได้เพียงใดหรือไม่ ผู้ต้องหาบางคนเช่นจ.ส.ต.ประธินขณะนี้ครอบครัวประสบปัญหาในทางเศรษฐกิจอย่างหนักและไม่มีรายได้ ขณะที่อายุก็มากแล้วคือ 60 ปี

ในภาพคือแผนผังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเสนอประกอบการแถลงข่าวการจับกุมเมื่อ 26 พ.ย.

BBC Thai

ooo




ได้ภาพจากเพื่อนท่านหนึ่งมาเป็นภาพการแถลงข่าวการจับกุม ผู้ต้องหา คดีป่วนงาน Bike for Dad ของ สตช.มันเป็นภาพและรายชื่อของ 26 จำเลย คดีขอนแก่นโมเดล มีสองคนเป็นผู้หญิง มีชายอายุเกินหกสิบหลายคน อายุมากสุด 73 ปี มีผู้ป่วยที่ต้องรับยารักษาโรคเรื้อรังตลอดชีวิต มีผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม มีผู้ที่มีอาการทางประสาท

มีเพียงบางรายเท่านั้นที่มีหรือถือครองอาวุธ แต่พวกเขาทั้งหมดาถูกจับขังนานกว่าหกเดือนด้วยข้อหาก่อการร้าย

และมาถึงวันวันนี้ วันที่ คสช.เข้าตาจนเรื่องการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ภาพของพวกเขา ชีวิตของพวกเขาถูกขุดคุ้ยขึ้นมาใช้งานอีกรอบ พาดหัวตัวใหญ่เหนือภาพของพวกเขามีข้อความว่า "กลุ่มผู้ต้องหาร่วมกันหมิ่นสถาบัน"

ที่โหดสัสกว่านั้น จากข้อมูลเพิ่มเติม http://prachatai.org/journal/2015/11/62669

หนึ่งในเก้าคนแรกเป็นผู้ที่ถูกออกหมายจับยังถูกขังอยู่ในเรือนจำมานานปีเศษ เขาจะกระทำการตามข้อกล่าวหาของ คสช.และ สตช.ทั้งเรื่อง พรบ.คอมพ์ ม.112 และการเตรียมการลอบสังหารผู้นำรัฐบาลได้อย่างไร

Sarayut Tangprasert


วันเสาร์, พฤศจิกายน 28, 2558

'ความรักชาติที่มืดบอด' :เมื่อ ก้อง ฤทธิ์ดี แห่งบางกอกโพสต์ เขียนถึง บุดห์ด้าอิสระ

ถอดความจากข้อเขียนของก้อง ฤทธิ์ดี บรรณาธิการผู้ช่วย ส่วน ชีวิตของหนังสือพิมพ์บางกอก โพสต์ เรื่อง ความรักชาติที่มืดบอด เป็นความรักที่มืดมนที่สุดเหนือใดๆ


รู้ถึงพลังความรักชาติรุนแรงสุดโต่งกันบ้างไหม รู้ไซร้จากออนไลน์และรู้ได้ที่หน้าสถานทูตสหรัฐ ขณะที่พวกเขายกขบวนมุ่งหน้ากันไปเหมือนนักท่องทะเลทราย ถือท่อนไม้ไว้สู้กับปีศาจด๊าร์ทเวเดอร์ ถือดีอย่างไรพวกจักรวรรดิ์นิยมนี่ ไม่ยอมลดละการแทรกแซง หยาบคายก็ปานนั้น หน้าไหว้หลังหลอกเฉกเช่นนี้ เสียงเหล่านักรบแนวหน้าตะโกนร้องพร้อมกวัดแกว่งลำไผ่ปลายแหลม

นี่เป็นเพราะเมื่อวันพฤหัสบดีทูตสหรัฐคนใหม่ กลิน เดวี่ส์ กล่าวถ้อยบางอย่างที่มันเขย่าต่อมรักชาติอย่างแรง (เรื่องอย่างนี้ล่อแหลมเสมอ) เกี่ยวกับที่ว่าคนแสดงความเห็นอย่างสันติไม่ควรถูกจับยัดคุก โยงถึงการลงโทษเกินกว่าเหตุภายใต้กฏหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ดังคาด เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมาพวกรักชาติกว่าใครเริ่มตีเกราะเคาะไม้กันใหญ่



คุณด๊าร์ตที่รัก กองกำลังได้ตื่นขึ้นแล้ว องค์การเก็บขยะ ซึ่งที่จริงไม่ใช่องค์การ แต่เป็นเหมือนละครน้ำเน่าในหมู่มือปืนรับจ้างของปีกฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้ประกาศออกมาว่ามันเป็นความ เสื่อมทางจริยธรรม ของพวกที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน อันสื่อความได้ว่าสหรัฐฟูมฟักไข่แห่งความเสื่อมทรามนี้

“เราประชาชนไทย” เขาใช้สรรพนามแทนเราไปแล้วโดยไม่พักจะขออนุญาต “ขอแสดงการไม่เห็นพ้องกับความเห็นของท่านทูต ที่จะทำให้สันติภาพในภูมิภาคต้องเสี่ยงภัย” จากนั้นพระสงฆ์อื้อฉาวชื่อ พระบุดห์ด้าอิสระ ได้เขียนจดหมายกล่าวหาท่านทูตว่าขาดความเคารพ ลุกล้ำ ใช้สำนวนข่มท่าน หยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยทุกคน ถึงเวลาต้องไปประท้วงสถานทูตกันแล้ว

เมื่อเดือนตุลาคมสงฆ์องค์นี้ได้เล่นบทโมเสสด้วยการกั้นการจราจรและพาพวกสาวกไปยังถนนวิทยุเพื่อประท้วงต่อองค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ ซึ่งไม่ได้มีสำนักงานอยู่ที่นั่นเสียหน่อย ครั้งนี้อย่างน้อยเขาก็ยังชี้ทางถูกสถานที่ ให้พวกสานุศิษย์ที่คลั่งใคล้ไปชุมนุมกันเมื่อวานนี้

สิ่งที่ท่านทูตพูดนั้นมีคนอื่นเขาพูดมาแล้วมากมาย ทั้งด้วยการเปล่งร้องและกระซิบกระซาบ ด้วยเลือดและด้วยน้ำหมึก ส่วนใหญ่ด้วยความหวังดี และด้วยความโกรธในกรณีที่จำเป็น การถูกจำคุกสามสิบปีจากที่พูดอะไรบางอย่าง มันเป็นโทษหนักหนาสากัณฑ์กว่าผู้ต้องหาฆ่าคนตายได้รับ หรือเมื่อข้อหาถูกยัดใส่ทั้งซ้ายทั้งขวาและตรงกลางในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา

รวมไปถึงในวันเดียวกันที่นายเดวี่ส์พูด มันไม่ได้มากไปเลยที่จะยกปัญหาศักดิ์ศรีแห่งมวลมนุษย์ขึ้นมาพูด ผู้ที่ออกมายกประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับกฏหมายนี้ ไม่ได้ทำไปเพราะเห็นว่าจะสามารถแก้ไขอะไรได้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้และไม่ใช่ในอนาคต แต่เพราะว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะกลายเป็นการทรยศต่อจิตสำนึกของตัวเอง ที่ซึ่งเป็นส่วนย่อยที่สุดแต่ก็ศักดิ์สิทธ์ที่สุดในชีวิตของพวกเขา

ทุกครั้งที่มีคนต่างด้าวหรือชาวต่างชาติที่ยังไม่ยอมถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน พูดถึงเรื่องนี้ มันช่างเจ็บแสบเสียนี่กระไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพญาอินทรีเป็นคนพูด มันกดศักดิ์ศรีของความรักชาติให้ตกต่ำลงอย่างสุดสุด นี่เป็นประเทศที่มือแปดเปื้อนกับความยุ่งเหยิงยืดเยื้อในที่ต่างๆ ของโลก และด้วยภูมิหลังแห่งการแทรกแซงที่ทิ้งความเละเทะไว้เบื้องหลัง

พวกรักชาติของเราสามารถบ่งชี้ตราบาปของสหรัฐได้เป็นกุรุต จากเวียตนามถึงอิรัก แต่ผมรู้สึกว่าคนเหล่านี้จะกลายเป็นแถวหน้ารอรับวีซ่าตลอดชีวิตไปสหรัฐถ้ากรุงวอชิงตันเปิดรับสักครั้ง

ไม่มีใครหรอกที่หลุดรอดความหน้าไหว้หลังหลอกไปได้ ในกิจการระหว่างประเทศบางครั้งเรียกมันว่าการทูต เป็นเกมที่เล่นกันด้วยกิ่งมะกอกและก้านหนำเลี๊ยบ ในที่แจ้งและเงามืด ไม่นานมานี้สหรัฐยังหลอกล่อให้เราเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนภาคีภาคพื้นแปซิฟิค (ทีพีพี) อยู่เลย แล้วจู่ๆ กลับจวกใส่กฏหมายยอดนิยมของไทยเสียนี่

นั่นเป็นแบบแผนของการทิ้งไพ่ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ง่ายเช่นเดียวกับที่เข้าใจบทบาทของจีนในการเอียงเข้ามาใกล้ชิดไทยทางทหาร โดยเข้าร่วมแสดงการบินกับเรา แต่แล้วกลับเตรียมจะเก็บค่าดอกเบี้ยสูงลิบในแผนการสร้างรถไฟความเร็วสูง

ในสถานการณ์ที่ความรักชาติถูกรุกล้ำ เมื่อเกาะแก้วพรีโมเดิร์นในยึดครองของทหารชักจะคับแคบเพราะว่าโลกโอบล้อมบีบรัดเข้ามา การแสดงความเห็นของท่านทูตมันเข้าได้กับตำราเรื่องนักเอาเปรียบของเราพอดี เมื่อคุณดันเผาบ้านตัวเอง ก็ต้องโทษเพื่อนบ้านที่เสือกยื่นจมูกเข้ามาสาระแน

อาการสมองฝ่อของพวกชาตินิยมโต่งนี่น่ะบางครั้งสุดที่จะอธิบายได้ หลังจากเกิดการระเบิดถล่มกรุงปารีสหลายจุดเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พวกขวาจัดบางกลุ่มขุดเอาประวัติศาสตร์สมัยคริสตศักราช ๑๘๙๓ เมื่อมีเรือไฟของฝรั่งรุกเข้ามาในน่านน้ำสยาม ในกรณีการล่าอาณานิคม เพื่อจะบอกว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสเป็นเพราะกรรมเก่าที่เคยมาค้ำคอตัดเอาดินแดนของเราไป

คนพวกนี้ไม่ได้ติดยาหรอกนะ พวกเขาแค่ขาดน้ำใจและหน้าไหว้หลังหลอกเท่านั้นเอง เนื่องจากคนเหล่านี้ไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับกรณีสยามเข้าไปรุกรานเพื่อนบ้านแต่ครั้งโบราณกาล ทั้งเหนือและใต้ เพราะว่าชาตินิยมเป็นเพียงการเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น แม้กระทั่งเขี่ยทิ้งด้วยคำเรียกว่า ขยะ

และแล้วพลังก็จุติอีกครั้ง ตราบใดที่พวกชาตินิยมมหันต์เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงมากเท่าไร พวกเขาจะออกอาการเกินธรรมดามากขึ้นเท่านั้น และผมแค่หวั่นว่านี่จะหมายถึงมีการกระทุ้งแทงยับเยินต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อไป เพียงแค่จะพิสูจน์ว่าด๊าร์ทเวเดอร์ไม่อาจครอบงำพวกเราได้ด้วยไอเดีย


ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาอ้างต่างชาติก้าวร้าว ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ แต่ไม่เคยฉุกคิดเลยว่าใครกันแน่ที่กำลังก้าวร้าว ความรักทำให้ตาบอด และความรักอย่างงมงายมืดมิดของชาติหนึ่งใด เป็นความมืดมนอนธการกว่าใครทั้งมวล