วันเสาร์, ธันวาคม 19, 2558

ความเอน็จอนาจไร้จิตสำนึกและคุณธรรม ของรัฐฟาสซิสต์ไทย ยุค คสช.




เห็นท่าประเทศไทยจะเป็นรัฐฟาสซิสต์ยุคใหม่จริงดังนักวิชาการออสเตรเลียคนหนึ่งชี้

เจมส์ เทเลอร์ แห่งมหาวิทยาลัยอะเดเลดส์ เขียนบทวิเคราะห์ลงบนเว็บไซ้ท์นิวแมนดาล่า

บอกว่าสภาพการณ์ปัจจุบันของไทยเหมือนกับระบบฟาสซิสต์ในสเปนตอนต้นศตวรรษที่ ๒๐ สะท้อนลักษณะน่าสะพรึงที่เรียกว่า ‘ฟาลังกิสต้า’ อาทิ

“การไม่มีประชาธิปไตยในไทย การกดขี่โดยข่ายงานของรัฐ (ภายใต้แรงประสานของพลเรือนและทหาร) กับการล้างผลาญผู้ที่ต่อต้านอำนาจเผด็จการ การใช้วาทกรรมชาตินิยมสุดโต่ง การสนับสนุนโดยพฤตินัยของพวกชนชั้นสูงโหนเจ้าต่อกลุ่มการเมืองติดอาวุธ (จากพวกกุ๊ยนิยมราชสำนักอย่างองค์การเก็บขยะแผ่นดิน ไปถึงคณะกรรมการประชาชนเพื่อการปฏิรูป หรือ กปปส.)”

(http://asiapacific.anu.edu.au/…/2…/12/18/a-state-of-madness/)

การพิเคราะห์ของศาลอาญาฝ่ายคดีพิเศษเมื่อวันศุกรที่ ๑๘ ธันวาคมนี้ เลื่อนฟังคำสั่งอุทธรณ์คดีที่นายอภิสิทธื เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ซึ่งร่วมกันรับผิดชอบต่อการสลายชุมนุมเมื่อ ๑๐ เมษายนถึง ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากการใช้กระสุนจริงและอาวุธร้ายแรงเข้าปราบปราม

(ประมวลจากข่าว http://prachatai.org/journal/2015/12/63036)

เป็นการเลื่อนพิจารณาคดีในลักษณะที่ประวิงเวลา หลีกเลี่ยงการตัดสินอันจะต้องเป็นโทษแก่ผู้ต้องหา แม้จะเลื่อนไปเพียงถึงเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีหน้า ก็เป็นการยืดเวลาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน แสดงถึงเจตนาโจ่งแจ้ง (หรือแม้กระทั่งจะใช้คำที่ผู้พิพากษาบางรายอ้างเพื่อสั่งจำคุกฝ่ายผู้ชุมนุม ว่าเห็นจุดประสงค์เบื้องลึก)

เพื่อเกื้อหนุนปกป้องจำเลยที่เคยเป็นหัวหน้าใหญ่ กปปส. หนึ่งในองคาพยพ ‘ฟาลังกิสต้า’ ระบบฟาสซิสต์ยุคใหม่ในประเทศไทย

ดังตอนหนึ่งของข้อเขียนในนิวแมนดาล่ากล่าวว่า ระบบฟาสซิสต์ยุคใหม่ในไทยแม้จะไม่มีลักษณะทางอุดมการณ์มากเท่าฟาลังกิสซึ่มของสเปน แต่ก็มีความเหี้ยมเกรียมเลวร้ายไม่น้อยไปกว่ากัน

“ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไทยฟุลเลอร์คนใหม่ใช้วิธีการบีบบังคับด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จแหวกทำนองคลองธรรม ที่ได้มาจากอำมาตย์ในปี ๒๕๕๗ เพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น” บทความกล่าวอีกตอนหนึ่ง

“แท้จริงแล้ว บรรยากาศการเมืองภายใต้อำนาจนิยมในประเทศไทยที่อำพรางเบื้องหลังหน้ากากแห่งถ้อยสำนวนเลิศเลอว่าเป็นประชาธิปไตยแห่งชาติ (แบบไทยๆ) นั้นปรากฏบุคคลิกของการเหยียดชาติกำเนิด เชิดชูลัทธิชาตินิยมราชาธิปไตย และความรักชาติสุดโต่งแบบที่แสดงออกด้วยขบวนการข้างถนน เช่นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม.”

ท่าทีของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ แสดงกิริยาฉุนเฉียวต่อรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อสองวันก่อน เนื่องจากรายละเอียดระบุว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ๗๘ ราย รวมเป็น ๖๘๙ กรณี ซึ่งในจำนวนนี้เป็นกรณีละเมิดที่เกิดในกระบวนตุลาการถึง ๑๗๘ ราย

ข้อเท็จจริงหนึ่งในรายงานของ กสม. ที่ทำให้บิ๊กตู่แสดงกิริยาปรี๊ดแตกน่าจะเป็นเรื่องที่มีการร้องเรียนว่าคณะรัฐประหาร คสช. ใช้อำนาจบาดใหญ่มากไปถึง ๒๖ รายการ

หัวหน้ารัฐบาลทหาร คสช. ยังคงใช้วาทกรรมเลอเลิศอย่างเคยว่า “ประเทศเราไม่เหมือนกับประเทศไหน ประชาชนของเรามีคุณภาพไหม ใครกันล่ะทำให้รัฐบาล คสช.ต้องเข้ามาทำการเปลี่ยนแปลง พวกเขาใช้วิจารณญานที่เหมาะสมกันหรือเปล่า

ถ้าหากยังไม่เปลี่ยนความคิดกัน ก็ควรที่จะไปอยู่ต่างประเทศเสียเถอะ”

(ถอดความจากรายงานข่าวภาษาอังกฤษ http://www.nationmultimedia.com/…/NHRC-report-on-rights-vio…)




เป็นที่น่าเอน็จอนาจอย่างยิ่งในสายตาของผู้ที่มองจากภายนอกเข้าไปในประเทศ เห็นสภาพไร้จิตสำนึกและคุณธรรมทางด้านสิทธิมนุษยชนสากลในกลุ่มคณะรัฐประหารผู้กุมอำนาจ แม้แต่ข้อเท็จจริงในทางละเมิดจากเจ้าหน้าที่รัฐต่อประชาชน และการเอารัดเอาเปรียบข่มเหงกัน ก็ยังถูกปิดบังอำพราง

หนทางที่เหลืออยู่พอทำได้ของบรรดาผู้ที่รู้เห็นและไม่สามารถทรยศต่อจิตสำนึกในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ อยู่ที่การแสดงออกอย่างที่กลุ่มนักศึกษา และนักกิจกรรมประชาธิปไตยยืนหยัดทำกัน มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังใจและเรี่ยวแรง

โดยเฉพาะในกรณีคดีเข่นฆ่าปราบปรามเสื้อแดงที่แยกคอกวัวและราชประสงค์เมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๓ มีข้อเท็จจริงที่ควรแก่การแพร่หลายให้รับรู้ในหมู่ประชาชน จนกว่าบรรดาผู้พิพากษาจะเกิดความซึมซับกับจิตสำนึกในการรับความจริงยิ่งกว่าการตีความข้อกฎหมาย

Chiranuch Premchaiporn shared สมบัติ บุญงามอนงค์'s with Apichart Srisuk. เมื่อ July 26, 2013 •

“โพสต์ไว้ในวันที่ศาลอุทธรณ์สั่งเลื่อนการอ่านคำสั่งคดีสลายการชุมนุมของสุเทพ/อภิสิทธิ์ออกไปอีกสองเดือน”




“เธอชื่อว่าปุ้ย เป็นอาสากู้ชีพของมูลนิธิแห่งหนึ่ง...ปุ้ยเป็นอาสาสมัครตั้งเต๊นท์ดูแลคนบาดเจ็บตั้งแต่ในเหตุการณ์ ๑๐ เม.ย. ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อ ฮ.ทิ้งแก๊สน้ำตาลงมา...และเธอได้พบกับกมลเกด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตที่วัดปทุมที่เหตุการณ์นั้น เหล่าอาสาสมัครช่วยกันดูแลคนเจ็บตั้งแต่ต้นจนเสียงปืนแตกและสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

ข้อความต่อจากนี้คือสิ่งที่เธอบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตัวเธอเอง

วันนั้นจำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไหร่นะค่ะ นั่งกันอยู่ที่เต้น ตรงแถวแยกอังรีดูนังใต้บีทีเอส ได้รับแจ้งว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ ที่ลานหน้าสวนลุมฯ พวกเราก็ลุยเข้าไปกัน แต่ตอนนั้นยังไม่มีการปะทะอะไรกัน แล้วก็มีคนจุดบั้งไฟขึ้นท้องฟ้า สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนปืน ดังมาก ทุกคนตรงนั้นก็หมอบลงกับพื้น บ้างคนก็นั่งคุกเข่า ส่วนปุ้ยหลบอยู่ใต้ฐานพระรูปรัชกาลที่ ๖ แล้วก็วิ่งมาหลบอีกเต๊นนึง

สัก (เดี๋ยว) เองก็เห็นพี่คนนึงอยู่ด้านขวามือของปุ้ย อยู่ห่างกันประมาณ ๒ เมตร ซึ่งอยู่ในระยะที่ใกล้กันมาก พี่เค้าโดนยิงที่ศรีษะ ปุ้ยตะโกนบอกพี่เก่ง มีคนโดนยิง แล้วก็วิ่งเข้าไปนำผ้าก็อสเท่าที่มีอยู่ปิดแผล พยายามห้ามเลือดให้พี่เค้า ตอนนั้นพี่เค้ายังลืมตา หายใจรวยริน ปุ้ยพยามบอกพี่เค้าว่า พี่ อย่าหลับนะ สู้นะพี่ จะพาไปส่งโรงพยาบาล

จากนั้น ใกล้ๆกันก็มีคนตะโกนว่า มีคนถูกยิง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะโดนยิงที่มือ คนที่นอนหงายอยู่ในภาพ ส่วนพี่ที่ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ทุกคนแถวๆนั้นช่วยกันนำพี่เค้าออกจากที่เกิดเหตุ แล้วรีบนำพี่เค้าส่ง รพ.ตำรวจ และก็นำพี่ที่โดนยิงที่มือพยุงออกมา...

จนวันสุดท้ายที่มีการสลายการชุมนุม ที่ราชประสงค์ ปกติปุ้ยจะเข้าไปช่วงบ่าย ๓ จนถึงเที่ยงคืน ตี ๑ แล้วแต่เวลา แต่วันนั้นปุ้ยกลับเช้าทำให้ตื่นมาประมาณ ๔ โมง ก็โทรหาพี่เกด พี่เกดบอกว่าไม่ต้องเข้ามาแล้ว ทหารเข้ามาสลายแล้ว พี่ย้ายเต๊นท์เข้าไปในวัดแล้ว ไม่ต้องห่วง

แล้วพี่ที่หน่วยก็โทรมาตามว่าไฟไหม้ที่สยาม หลังจากนั้นปุ้ยก็ออกไปดับไฟที่สยาม จนประมาณทุ่มนึง พี่เก่งโทรเข้ามา บอกว่าพี่เกดกับน้องที่เต๊นท์อีกคนเสียแล้ว และมาเจอกันกับพี่เก่งอีกครั้งที่วัด งานศพพี่เกด แล้วบอกให้ไหว้พี่เกดแล้วรีบกลับบ้านซะ ไม่ต้องรอถึงพระสวด เพราะเค้าไม่รู้ว่าใครเป็น ใครเค้าบอกไม่อยากให้น้องต้องมาเดือดร้อนด้วย

และวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่ได้ติดต่อกัน เพราะพี่เก่งแจ้งว่าให้เลิกติดต่อกันกับทุกคนที่รู้จักในเสื้อแดงรวมถึงตัวพี่เก่งด้วย เพราะกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย”

(https://www.facebook.com/chiranuch/posts/10153279657094135?pnref=story)