วันศุกร์, ธันวาคม 25, 2558

คนดีหายหัวไปไหนหมด!?





คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
ที่มา โลกวันนี้

On December 24, 2015

ในที่สุดลมหนาวแรกก็พัดมาถึงกรุงเทพฯในปลายเดือนธันวาคมจนได้ ทั้งๆที่อากาศเย็นน่าจะมาถึงตั้งแต่เดือนที่แล้ว แถมเมื่อต้นเดือนธันวาคมยังเกิดฝนตกอยู่หลายวันทีเดียว สภาพอากาศที่แปรปรวนแบบนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลกได้เป็นอย่างดี เดี๋ยวนี้เราแทบจะตอบไม่ได้แล้วว่าเดือนไหนเป็นฤดูอะไร เพราะมันแทบจะไม่เป็นจริงเหมือนสภาพภูมิอากาศในสมัยก่อนอีกแล้ว

นอกจากสภาพอากาศจะวิปริตผิดฤดูกาลอย่างที่ปรากฏ เรื่องอื่นๆในบ้านเมืองของเราก็เกิดวิปริตพิสดารไม่แพ้กัน หากท่านผู้อ่านเข้าไปค้นคว้าตามเว็บบอร์ดต่างๆ ท่านจะได้พบกับเรื่องประหลาดหลายๆเรื่องที่คนไทยนำกลับมาวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่อย่างกว้างขวางและหลากหลาย โดยส่วนใหญ่จะพูดถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของกลุ่มบุคคลที่ออกมาขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงก่อนที่จะมีการรัฐประหาร และพฤติกรรมของบุคคลกลุ่มเดียวกันภายหลังจากการมีรัฐประหารภายใต้การปกครองของท่านผู้นำสูงสุด

ในช่วงก่อนการรัฐประหารนั้น มีนักวิชาการและชนชั้นนำในประเทศไทยจำนวนมากพร้อมใจกันออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล ด้วยเหตุผลจากความไม่พอใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง และการดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อความเจริญของประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ประชาชนที่ด้อยโอกาส ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดช่องว่างระหว่างชนชั้น

โดยชนชั้นนำจำนวนมากเห็นว่าเป็นการดำเนินโครงการที่เอารัดเอาเปรียบพวกเขาที่เสียภาษีเข้ารัฐเป็นจำนวนมาก แต่โครงการหลายๆโครงการไม่ตอบโจทย์ชนชั้นนำ แต่กลับนำงบประมาณไปช่วยชนชั้นรากหญ้า ยกตัวอย่างเช่น การออกมาประท้วงให้ยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูง ชนชั้นนำส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นโครงการที่ลงทุนสูง แต่ไม่ได้ประโยชน์กับประชาชนทุกๆกลุ่ม เพราะกลุ่มคนที่มีฐานะดีก็ไม่เลือกเดินทางโดยรถไฟอยู่แล้ว แต่จะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือเครื่องบินเป็นหลัก ดังนั้น การเอาเงินภาษีของเขาไปทุ่มลงกับเรื่องรถไฟจึงเป็นเรื่องที่ไกลตัวและได้ประโยชน์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการนำไปสร้างถนนเส้นใหม่หรือการขยายสนามบิน

ผมยังจำคำปราศรัยของนักวิชาการท่านหนึ่งบนเวทีของลุงกำนันได้เป็นอย่างดี เพราะแต่ละคำพูดของรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์ท่านนี้สะท้อนความเป็นชนชั้นในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ผมขอถอดคำพูดบางท่อนจากการปราศรัยของท่านเมื่อเดือนมกราคม 2557 มาให้อ่านกันสั้นๆดังนี้ครับ

“ผมไปจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานแล้วก็เจอคนหนึ่งที่ใส่เสื้อแดง ผมไม่ได้ถามชื่อเขานะครับ เขามาบอกกับผมว่า “รถไฟความเร็วสูงนี่ต้องให้มี ยายขอขึ้นสักครั้งเถอะก่อนตาย” ว่างั้น ด้วยความเคารพนะครับ ความคิดตอนนั้นขึ้นมาทันทีเลยว่า มีตังค์อยู่นี่จะออกตังค์ให้ไปขึ้นที่อื่นได้ไหม แล้วตายเหอะ ก็พอจะมีตังค์ออกให้อะนะ ไปขึ้นซะแล้วก็ตายๆกันไป”

คำปราศรัยของนักวิชาการท่านนี้แสดงออกอย่างชัดเจนหลายเรื่อง แต่ผมจะไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะถือว่าเป็นสิทธิในการแสดงออกโดยชอบของท่าน เพราะในช่วงที่ท่านพูดประเทศของเราเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น ใครก็แล้วแต่ย่อมสามารถแสดงความเห็นได้อย่างเสรี ตราบใดที่การแสดงออกดังกล่าวยังอยู่ภายใต้กฎหมาย

แต่สิ่งที่ผมจะหยิบยกมาบ่นในวันนี้ก็คือ เมื่อวันนั้นท่านและพรรคพวกของท่านจำนวนมากต่างออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการรถไฟความเร็วสูงด้วยเหตุผลร้อยแปด แต่มันเกิดปรากฏการณ์พิสดารอะไรขึ้นมาหรือเปล่า? เมื่อรัฐบาลทหารกำลังเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วปานกลางในวันนี้ด้วยเงินงบประมาณลงทุนที่สูงกว่า พวกท่านกลับเงียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่แหละครับที่ผมคิดว่ามันออกจะวิปริตพิสดารอยู่ไม่น้อย

หรืออีกเรื่องที่กลุ่มชนชั้นนำออกมาเรียกร้องและด่ารัฐบาลเลือกตั้งอย่างหนักก็คือ เรื่องการใช้สิทธิออกมาชุมนุมประท้วงของพวกท่านก่อนที่จะมีการรัฐประหารนั้น ทั้งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและไม่ใช่กรรมการสิทธิฯ อีกทั้งใครบ้างก็ไม่รู้ ต่างออกมากล่าวหาว่ารัฐบาลปิดกั้นเสรีภาพและใช้อำนาจที่ไม่ชอบในการควบคุมความสงบเรียบร้อยต่างๆภายในประเทศ ทั้งที่จริงๆพวกท่านหลายคนกลับเป็นผู้คุกคามอำนาจรัฐและละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจำนวนมากจนเกิดความวุ่นวายไปทั่ว

เรื่องนั้นจริงเท็จประการใดผมคงไม่บังอาจไปก้าวล่วง เพราะผมเชื่อว่าคงไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นได้อย่างแน่นอน ใครทำอะไรเอาไว้ ทุกๆคนก็เห็นเหมือนกันหมด เพราะมีการถ่ายทอดสดการชุมนุมทุกวัน และมันคงถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ว่า พวกท่านได้ช่วยประเทศชาติและประชาชนสำเร็จตามที่ท่านได้ตั้งใจไว้หรือไม่? หรือท่านเป็นเพียงแค่เครื่องมือให้ใครบางคนใช้สร้างสถานการณ์จนทหารออกมาปฏิวัติ และประเทศไทยก็ตกต่ำมาจนถึงวันนี้ ผมยืนยันว่าเรื่องนี้ผมไม่กล่าวหาใครเด็ดขาด ขอให้ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์จะดีกว่า

แต่เรื่องที่ผมจะนำมาบ่นก็คือ ภายหลังการรัฐประหาร รัฐบาลทหารได้ออกมาควบคุมเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ ขนาดใครไปยืนถ่ายรูปชู 3 นิ้วยังต้องเตือนกันว่าทำไม่ได้และไม่เหมาะสม และล่าสุดแม้แต่การแสดงออกของน้องๆนักศึกษาที่มีความปรารถนาอยากให้มีการตรวจสอบทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ที่มีความไม่ชอบมาพากลด้วยการชวนกันขึ้นรถไฟไปเที่ยวที่นั่น ขณะนี้ทั้งหมดได้กลายเป็นผู้ต้องหาตามหมายเรียกของตำรวจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เรื่องเหล่านี้จะพบว่าไม่มีกลุ่มบุคคลหน้าเดิมๆที่ก่อนการรัฐประหารชอบออกมาแอบอ้างประชาธิปไตยและด่ารัฐบาลว่าละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ออกมาปกป้องและเรียกร้องให้กับน้องๆนักศึกษาเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องแบบนี้ต่างหากที่ผมว่ามันเป็นเรื่องประหลาด ผมยืนยันว่าผมไม่แปลกใจเลยที่ทหารออกมาควบคุมและจำกัดสิทธิของประชาชน เพราะรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจ ดังนั้น จึงไม่มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยมาจากประชาชนอยู่แล้ว การปฏิบัติการต่างๆของทหารจึงเป็นเพียงการดำเนินการเพื่อรักษาอำนาจของพวกเขาเอาไว้ให้นานที่สุดเท่านั้น แต่พวกท่านต่างหากที่ทำให้ผมและประชาชนอีกจำนวนมากแปลกใจ

ยังมีเรื่องแปลกๆแบบนี้อีกหลายเรื่องที่ท่านสามารถหาอ่านความเห็นต่างๆได้ทั่วไป โดยเฉพาะจากประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกงที่เขาตั้งคำถามต่างๆเอาไว้เพียบ เช่น เรื่องโครงการรถไฟไทย-จีนที่ผมบ่นให้ฟังไปแล้ว ตอนนี้ประกาศเริ่มเดินหน้าโครงการเต็มรูปแบบแลกกับดอกเบี้ย 2.5% กับค่าแรง 800 บาทต่อวัน ความเร็วได้แค่ปานกลาง แต่ราคาสูงกว่ามาก

หรือเรื่องน้ำมันโลกราคาถูก แต่น้ำมันไทยแพง รถทัวร์ไม่ลดราคา รถเมล์ ข้าวแกง แท็กซี่ขึ้นราคาสวนราคาน้ำมัน… บลาๆๆ…(เรื่องอื่นๆอีกเพียบ ฯลฯ) ทำไมคนทั้งหลายที่เคยออกมาเรียกร้องจะเป็นจะตายกันให้ได้ในตอนนั้น วันนี้หายไปไหนกันหมด?

บ่นเพลินไปนิดครับสัปดาห์นี้หน้ากระดาษหมดแล้ว เอาไว้พบกันฉบับหน้า อ้อ! อีกเรื่องหนึ่งผมลืมไป “ท่านฮุน เซน มาเมืองไทย ไม่มีใครสนใจจะทวงคืนเขาพระวิหารแล้วหรือครับ?”