วันพุธ, ธันวาคม 16, 2558

"ฟ้องเด็กทำไม เด็กทำอะไรผิด แค่พูดไปตามความจริงที่เห็น"

ฟ้องดะ เรียกค่าเสียหายหลายสิบล้าน นี่คือวิธีการของนายทุนเหมือง

(ที่บังเอิ๊น บังเอิญมีผู้อำนวยการ สนง.ทรัพย์สินฯ ส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นประธาน)

แถลงการณ์ของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเมื่อวานนี้ เหมือนดั่งมีการเปิดกระป๋องเน่าใน ทำให้หนอนคลานกันออกมายั๊วเยี๊ยะ

ไทยพีบีเอสขอให้ “บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ทบทวนการยื่นฟ้องหมิ่นประมาทเยาวชนนักข่าวพลเมือง เพราะเป็นเพียงนักเรียนชั้น ม.4 ให้เหลือเพียงเฉพาะส่วนการฟ้องร้องไทยพีบีเอสเท่านั้น...

ทางบริษัททุ่งคำได้ยื่นฟ้องไทยพีบีเอสและผู้ดำเนินรายการช่วงข่าวพลเมือง และผู้บริหารองค์การรวม คน ไปแล้ว เมื่อวันที่ ๑๒ พ.ย. ๒๕๕๘ ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารและโทรทัศน์ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน ๕๐ ล้านบาท รวมถึงให้ศาลมีคำสั่งห้ามไทยพีบีเอสประกอบอาชีพโทรทัศน์เป็นเวลา ปี

จึงไม่สมควรที่ทางบริษัททุ่งคำจะดำเนินการเพื่อฟ้องดำเนินคดีกับเยาวชนนักข่าวพลเมือง ชั้น ม. ที่ อ.วังสะพุง จ.เลย อีก


อันเนื่องมาแต่รายการข่าวภาคสนามของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๘ แพร่ภาพการสัมภาษณ์ น.ส. วิรดา แซ่ลิ่ม นักเรียนหญิงชั้น ม.๔ อายุ ๑๕ ปี ซึ่งทำหน้าที่นักข่าวพลเมืองรายงานการ ออกค่ายเยาวชนฮักบ้านเจ้าของ ตอน นักสืบลำน้ำฮวยแท้ๆ แน๊วซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ สิงหาคม ศกนี้ ที่วัดโนนสว่าง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย

โดยมีถ้อยคำตอนหนึ่งว่า “ลำน้ำฮวยได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำโดยลำน้ำฮวยมีสารปนเปื้อน ทำให้ใช้ดื่ม ใช้กินไม่ได้

นี่เองเป็นเหตุให้บริษัททุ่งคำผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำวังสะพุง ทำหนังสือถึงสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเลยเพื่อทำการฟ้องคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ต่อ น.ส.วิรดา เนื่องจาก

“พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีวิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๙๙ วางหลักว่า ห้ามมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาซึ่งมีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำความผิดต่อศาลเยาวชนและครอบครัว เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการสถานพินิจที่เด็กหรือเยาวชนอยู่ในเขตอำนาจนั้น”

สถานพินิจนัดหมายให้ น.ส.วิรดาและผู้ปกครองไปให้ถ้อยคำในเช้าวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคมนี้ หากแต่กำหนดนัดได้ถูกยกเลิกไปและมีการฟ้องร้องคดีดำที่ อ. ๓๗๕๖/๒๕๕๘ ออกมาเสียก่อน คดีนี้ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ ๒๑ มี.ค. ปีหน้า โดยกล่าวในคำฟ้องว่า

“ถือเป็นการใส่ความร้ายต่อบริษัท ทุ่งคำ จำกัด (โจทก์) เนื่องจากข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ เพราะความจริงเหมืองแร่ดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่มีสารปนเปื้อน และลำน้ำฮวยไม่ได้ไหลผ่านเหมืองแร่”

สองวันหลังจากมีหนังสือเรียกตัวไปให้ปากคำต่อสถานพินิจฯ สำนักข่าวประชาไทได้ทำการสัมภาษณ์ถึงผลกระทบต่อความรู้สึกของนักเรียนหญิงนักข่าวพลเมืองคนดังกล่าว เธอบอกว่า

รู้สึกว่าฟ้องเด็กทำไม เด็กทำอะไรผิด แค่พูดไปตามความจริงที่เห็น ถ้าลูกคุณโดนฟ้องเป็นคดีจะรู้สึกอย่างไร พ่อแม่เราก็ทุกข์ใจเหมือนกัน...

เธอบอกด้วยว่า ลำน้ำฮวยแต่ก่อนมีคนมาเล่นน้ำ และหาอยู่หากินกับลำน้ำ จนกระทั้งสาธารณะสุขจังหวัดเข้ามาประกาศว่าลำน้ำฮวยที่ใสนั้นกินไม่ได้ เพราะมีสารปนเปื้อน... 
อยากให้เขารู้ว่าบ้านเราเป็นอย่างไร และอยากให้เขามาช่วยเหลือบ้านเรา 
สนข. ประชาไทรายงานเพิ่มเติมว่า “นอกจากการฟ้องร้องกรณีล่าสุดแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดและบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ยังคงมีอยู่ 
(หลังจากเมื่อปลายปี ๒๕๕๗ มีการประนีประนอมยอมความกัน โดยบริษัทฯ ยินยอมถอนฟ้องทั้งคดีแพ่งและอาญา ๙ คดี ส่วนชาวบ้านยินยอมให้ทางบริษัทขนแร่จำนวน ๑,๖๕๕ ตันออกจากเหมืองทองคำได้ โดยไม่มีการต่อต้าน)
เนื่องจากบริษัท (ทุ่งคำ) ได้มีการฟ้องร้องชาวบ้านอีกหลายๆ คดี เช่น ๑. ฟ้องหมิ่นประมาทนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ เลขานุการกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด ที่ศาลจังหวัดแม่สอด โดยอ้างว่านายสุรพันธุ์ได้นำเข้าข้อความในเฟซบุ๊กเพจ เหมืองแร่ เมืองเลย’ 
. ฟ้องแพ่งต่อชาวบ้านสิบกว่าคน ที่ศาลจังหวัดเลย เรียกค่าเสียหายหลายสิบล้านบาท โดยบริษัทฯ อ้างว่า การที่ชาวบ้านไปติดป้ายถ้อยคำ ปิดเหมืองฟื้นฟูในหมู่บ้าน และการทำซุ้มประตูแล้วเขียนถ้อยคำในทองนองไม่เอาเหมือง นั้นทำให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหาย 
. ฟ้องนายสมัย ภักดิ์มี ประธานสภา อบต.เขาหลวง ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากไม่ได้นำเอาคำขออนุญาตการต่ออายุใช้พื้นที่ป่าไม้เข้าประชุมเพื่อพิจารณาในสภา ทำให้บริษัทฯ ไม่ได้รับอนุญาตต่ออายุการใช้พื้นที่ป่าไม้ เป็นต้น”
นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความศูนย์ข้อมูลชุมชนกล่าวว่า “การฟ้องชาวบ้านอยู่เรื่อยๆ เช่นนี้ ทำให้ชาวบ้านมีภาระที่ต้องไปขึ้นศาล และห่วงกังวลกับเรื่องที่ตนต้องถูกฟ้องคดี และอาจจะเพิ่มความรู้สึกไม่ดีระหว่างชาวบ้านและบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น”
เธอ “มองว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะในสื่อสาธารณะควรได้รับความคุ้มครอง ขณะที่ในหลายๆ ประเทศ คดีหมิ่นประมาทไม่ถึงขั้นเป็นคดีอาญาที่ต้องถูกจำคุก และยิ่งเมื่อผู้ถูกกล่าวหาเป็นเด็กก็ยิ่งจำเป็นต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น” 

ผู้ที่สนใจการรณรงค์เพื่อสภาพแวดล้อมปลอดสารพิษของชาวบ้าน ๖ ชุมชนในภาคอิสานช่วงปี ๕๖-๕๗ จะทราบว่าบริษัทเหมืองแร่ทุ่งคำนี้มีปัญหากับชาวบ้านอย่างมาก และทำให้ทั่วประเทศเริ่มรู้จักกับกลุ่มนักศึกษา ดาวดินจากขอนแก่น ที่ร่วมกับชาวบ้านอย่างแข็งขันต่อต้านเหมืองทองคำวังสะพุง
ก่อนที่บริษัททุ่งคำจะใช้วิธีการไล่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นสิบๆ ล้านจากชาวบ้านที่แม้แต่เงินล้านยังไม่เคยเห็นแล้ว ยังมีการใช้กำลังและความรุนแรงต่อชาวบ้านที่ออกมาชุมนุมปิดกั้นไม่ให้รถบรรทุกเครื่องมือขุดเจาะเข้าออกบ่อเหมืองได้
เห็นได้จากรายงานของเว็บไซ้ท์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทางอีศาน เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ แจ้งว่า
เมื่อคืนวันที่ ๑๕ พ.ค. 2557 เหมืองแร่ทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย ที่มีปัญหา ชายฉกรรจ์คลุมหน้าและติดอาวุธประมาณ ๑๐๐ ถึง ๓๐๐ คน เข้ามาปิดล้อมตามจุดตรวจชุมชน
และจับควบคุมตัวชาวบ้านที่อยู่ประจำจุดตรวจ มัดมือมัดเท้า ทุบตีและใช้มีดแทง ระหว่างให้รถบรรทุกขนแร่ออกไป ซึ่งส่งผลให้มีชาวบ้านบาดเจ็บประมาณ ๒๐ คน และสาหัส ๓-๔ คน
ผู้ประสานงานกลุ่มนักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวอเมริกัน ENGAGE เคยกล่าวกับผู้สื่อข่าวพิเศษไทยอีนิวส์ในสหรัฐอเมริกา จากประสบการณ์ของพวกเขาในการร่วมรณรงค์เคียงข้างนักศึกษาดาวดินในภาคอีสานของไทยว่า
บริษัททุ่งคำแห่งนี้เป็นบริษัทที่มีอิทธิพลมาก แม้ว่าพลังชาวบ้านร่วมกับองค์กรนักศึกษาและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยจะได้ทำการรณรงค์อย่างหนักแน่นเพียงใด ก็ไม่สามารถทัดทานได้ เพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมักจะเข้าข้างบริษัทฯ เสมอ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบริษัททุ่งคำเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทแม่ที่ชื่อว่า บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด ซึ่งมีนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการ และนายแกรี่ อลัน ไพเออร์เป็นกรรมการผู้จัดการ 
ต่อมาเมื่อจดทะเบียนเป้นบริษัทมหาชน มีนายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล และนายเอียน แพสโค ร่วมกันลงชื่อเป็นผู้มีอำนาจกระทำแทนบริษัท
ส่วนบริษัททุ่งคำมีคณะกรรมการ ๖ คน ได้แก่ นายชนะ วงศ์สุภาพ นายปราโมทย์ บันสิทธิ์ นายบัณฑิต แสงเสรีธรรม นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล นายวิชัย เชิดชีวศาสตร์ และนายธนภูมิ เดชเทวัญดำรง