วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 10, 2558

สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน :ชำนาญ จันทร์เรือง

 สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ        ในตน

กินกัดเนื้อเหล็กจน              กร่อนขร้ำ

บาปเกิดแต่ตนคน           เป็นบาป

บาปย่อมทำโทษซ้ำ           ใส่ผู้บาปเอง

จาก โคลงโลกนิติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร

เหล็กหล่อเจ็ดรัชกาล กับสนนราคา
ไม่ใช่เรื่องที่เกินกว่าการคาดหมายแต่อย่างใด ที่ คสช.และรัฐบาลจะเกิดอาการถอยร่นทางการเมืองทั้งๆที่สามารถควบคุมอำนาจการปกครองไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยเหตุแห่งการรัฐประหารตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2558 เป็นต้นมา

แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามที่ คสช.และหลายฝ่ายที่สนับสนุนการยึดอำนาจตั้งความหวังไว้ ว่าบ้านเมืองจะเข้าสู่โหมดของการปฏิรูปอย่างจริงจังเสียที หลังจากที่ตกอยู่ใต้อำนาจของนักการเมืองที่เชื่อกันว่าเข้าสู่ตำแหน่งด้วยอำนาจของทุนที่เหนือกว่าฝ่ายอื่น

การถอยร่นทางการเมืองเริ่มจากการพ่ายแพ้เกมการเมืองต่อกลุ่มนักศึกษาดาวดิน ที่ไม่ยอมประกันตัวเมื่อถูกจับกุมดำเนินคดีต่อศาลทหาร จนเกิดกระแสกดดันทั้งจากในและนอกประเทศจนต้องยอมให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่ต้องมีหลักประกันต่อศาลทหาร

การพ่ายแพ้ทางการเมืองถัดมา ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ทางกฎหมายต่อการดำเนินคดีต่อนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ที่ศาลยุติธรรมมีคำวินิจฉัยว่า คำสั่งคสช.ไม่สามารถเอาผิดย้อนหลังได้ เอาผิดได้แต่เพียงการขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งศาลลงโทษเพียงแต่ปรับเป็นเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น

จากคำวินิจฉัยนี้ได้กลายเป็นบรรทัดฐานในการต่อสู้คดีอีกหลายๆ คดีในทำนองเดียวกันนี้ ซึ่งก็ทำให้ คสช. เสียหน้าไปพอสมควร

การถอยร่นทางการเมืองก้าวเล็กๆ อีกก้าวหนึ่งก็คือ การดำเนินคดีต่อคณาจารย์ที่ประกาศว่า มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหารแต่ก็ต้องปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องมีหลักประกันเช่นกัน มิหนำซ้ำยังออกหมายเรียกบุคคลผิดคนอีกต่างหาก

การถอยร่นครั้งใหญ่ที่สุดเกิดจากรณีราชภักดิ์ ที่ คสช.พยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะไม่มีการทุจริต ซึ่งอย่างไรเสียก็คงมีบางคนจะต้องถูกเซ่นสังเวยเป็นแพะอย่างแน่นอน

ล่าสุดก็คือถึงขนาดปิดอุทยานราชภักดิ์ในวันที่ 7 ธ.ค.เพื่อหนี จ่านิวที่ย้อนเกล็ดด้วยการขึ้นรถไฟพร้อมกับห้อยนกหวีดเดินทางไปอุทยานฯ เพื่อดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่ได้เกรงกลัวต่อการข่มขู่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ที่ทำเกือบทุกอย่างแม้กระทั่งการเรียก แม่จ่านิวเข้าไปปรามในที่ทำการของทหารเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้

จนต้องมีการหิ้วตัวจ่านิวและพวกที่สถานีรถไฟบ้านโป่งกัน ในที่สุดก็ต้องปล่อยตัวไปโดยไม่ต้องเซ็นข้อตกลงหรือตั้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

ในขณะที่มีการถอยร่นก็เสมือนหนึ่งมีผีซ้ำด้ำพลอยเข้าแทรก ที่อยู่ๆ ก็มีเอกสารลับของสันติบาลหลุดออกมาจนเป็นข่าวใหญ่โตเพราะเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งเอกสารที่ว่านั้นก็คือเอกสารที่ระบุถึงการที่หน่วยข่าวของรัสเซียได้แจ้งเตือน สมช.ของไทยว่า ได้มีชาวซีเรียจำนวน 10 คน คือกลุ่มไอเอสได้เข้ามาในเมืองไทยเพื่อที่จะก่อการร้าย

ในตอนแรกๆก็มีการพยายามปฏิเสธว่าไม่มี แต่ ผบ.ตร.ยืนยันว่าเป็นเอกสารจริง แต่การก่อการร้ายนั้นยังต้องตรวจสอบหาบุคคลเหล่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ ต่อมาก็มีการปล่อยข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่ามีชาวซีเรียที่เป็นนักท่องเที่ยวเข้ามา 200 คน วีซ่าขาดไป 10 คน บ้าง ต่อมาก็บอกว่าจับได้แล้ว 2 คนบ้าง ฯลฯ

ประเด็นสำคัญก็คือการแจ้งเตือนของทางการรัสเซียนั้นเกิดขึ้นก่อนจะเกิดเหตุโจมตีฝรั่งเศสของกลุ่ม   ไอเอส

คำถามก็คือแล้วทำไมเอกสารลับดังกล่าวถึงมาโผล่เอาตอนนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวเสียด้วย ถือได้ว่าเป็นช่วงที่จะกอบโกยเงินทองจากนักท่องเที่ยวกันอย่างเป็นกอบเป็นกำ พอเรื่องนี้โผล่มาจึงทำให้บรรยากาศเสียไปเป็นอันมาก ทำให้ คสช.และรัฐบาลต้องตามแก้เกมกันอุตลุต ซึ่งยังไม่รวมถึงกรณีที่เอฟเอเอของสหรัฐลดเกรดการบินของเรา และสัปดาห์ถัดไปทางสหภาพยุโรปก็จะประกาศตามมา ซึ่งผลก็เป็นที่คาดได้ว่าจะออกมาเช่นไรเพราะมาตรฐานใกล้เคียงกัน

ทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มีสาเหตุเริ่มจากคนภายในเองทั้งสิ้น ซึ่งอาจเป็นด้วยความตั้งใจในลักษณะเกลือเป็นหนอน หรืออาจจะเป็นไปโดยไม่ตั้งใจแต่กระทำไปในลักษณะของการ จัดการงานนอกสั่ง เพื่อแย่งชิงกันเอาผลงาน หรือเพื่อขัดแข้งขัดขากันเองให้เข้าตาผู้บังคับบัญชาที่อยู่ในลำดับสูงกว่า

จนคำกล่าวที่ว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” นั้นใช้ไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้

ลำพังการต่อต้านจากคนภายนอกนั้นแทบจะไม่มีพลังอันใดเลย พรรคเพื่อไทยก็ดูเซื่องๆ รอความหวังลมๆแล้งๆว่าตนเองจะกลับมาชนะอีกเมื่อมีโอกาสเลือกตั้งใหม่

ส่วน นปช.หรือแกนนำนั้นเล่าก็อยู่ในอาการพับเพียบเรียบร้อย จัดรายการโทรทัศน์ไปบ่นไปเล็กๆน้อยๆมีหวือหวาบ้างนิดหน่อยก็ตอนจะไปราชภักดิ์เพื่อให้ถูกจับ แต่เมื่อทหารนึกได้ว่าเข้าทางของแกนนำนปช. ก็รีบปล่อยตัวไป

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็มาออกอาการเมื่อได้กระแสข่าวว่าจะมีพรรคใหม่ที่ถูกฟอร์มทีมไว้หลังจาก คสช.ลงจากอำนาจ แทนที่จะใช้บริการของพรรคตนเองเหมือนที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุว่าจะปลดคุณสุขุมพันธ์มาแก้เกี้ยวเพื่อขอเปิดประชุมพรรคเพื่อเตรียมรับมือ

ทั้งหมดทั้งปวงนั้นสามารถสรุปได้สั้นๆว่า “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน” นั่นเอง

ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก่อนที่จะไปจัดการเรื่องใหญ่ซึ่งก็คือการปฏิรูปประเทศนั้น ก็ต้องเคาะเอาสนิมนั้นออกเสียก่อน ก่อนที่ คสช. จะถูกสนิมนั้นกัดกินเนื้อเหล็กจนพังทลายไปด้วยกันน่ะครับ