วันจันทร์, ธันวาคม 28, 2558

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน : 10 คดีเด่นในศาลทหารประจำปี 2558




ที่มา Thai Lawyers for Human Rights
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ปี 2558 นับเป็นขวบปีที่สองแล้วที่พลเรือนจำนวนมากยังคงถูกนำตัวขึ้นศาลทหาร ภายใต้ระบอบการปกครองของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ความผิดตามมาตรา 112, มาตรา 116 และความผิดตามประกาศหรือคําสั่งคสช. ยังคงถูกนำมาใช้กล่าวหาต่อการเคลื่อนไหว หรือการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประชาชนที่ไม่ได้กระทำการเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ถูกกล่าวหาด้วยความผิดฐานมีหรือใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ก็ถูกนำขึ้นพิจารณาในศาลทหารจำนวนมากเช่นกัน จากสถิติของกรมพระธรรมนูญที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับข้อมูลมา ระบุว่าตั้งแต่ 22 พ.ค.57-30 ก.ย.58 มีคดีของพลเรือนที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารจำนวน 1,408 คดี คิดเป็นจำนวนผู้ต้องหาและจำเลยรวมแล้ว 1,629 คน¹

ในรอบปี 2558 ศูนย์ทนายฯ รับคดีเพิ่มเติมจำนวน 42 คดี รวมเป็นคดีทั้งหมดในความรับผิดชอบจำนวน 69 คดี นับแต่การรัฐประหาร ในโอกาสสิ้นปีนี้ ศูนย์ทนายฯ จึงรวบรวม 10 คดีเด่นในศาลทหาร ซึ่งพอจะเป็นตัวแทนภาพรวมของปัญหากระบวนการยุติธรรมภายใต้การปกครองของคสช. ตั้งแต่การริเริ่มคดีในการกล่าวหาบุคคลว่ากระทำความผิดโดยเจ้าหน้าที่ทหาร การใช้อำนาจในการจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ทหาร การเข้าร่วมสอบสวนโดยทหาร การสั่งฟ้องโดยอัยการทหาร การพิพากษาคดีโดยตุลาการศาลทหาร ไปจนถึงการคุมขังในเรือนจำภายในค่ายทหาร ทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ทหาร จนกล่าวได้ว่ากระบวนการยุติธรรมวันนี้มีสภาพกลายเป็น “กระบวนการยุติธรรมลายพราง” คดีเด่นๆ ในรายงานนี้จึงเป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งที่จะสะท้อนถึงสภาพกระบวนการนี้ที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ในปีที่ผ่านมา

1.คดีผู้ชุมนุมน้อยที่สุด : กรณีพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพเดินเท้าเพื่อเข้าให้การเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน

วันที่ 14-16 มี.ค.58 พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ กลุ่มพลเมืองโต้กลับได้ทำกิจกรรม “พลเมืองรุกเดิน” โดยเดินจากบ้านพักย่านบางบัวทองไปยังสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เพื่อเข้าให้การเพิ่มเติมในคดีเลือกตั้งที่รัก(ลัก)ในวันที่ 16 มี.ค.58 ที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน โดยในวันที่ 14 มี.ค.58 พันธ์ศักดิ์มีเป้าหมายเดินเท้าจากบางบัวทองมายังสะพานลอยหน้าสำนักพิมพ์ไทยรัฐ แต่ระหว่างทางกลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมจับขึ้นรถตู้และนำตัวมาส่งยังสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันโดยไม่ให้เดิน เป็นเหตุให้วันต่อมานายพันธ์ศักดิ์เริ่มต้นเดินอีกครั้งจากหมุดของ “เฌอ” บริเวณซอยรางน้ำ ไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทำให้ระหว่างทางมีคนนำดอกมามอบให้กำลังใจในการต่อสู้คดี

นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ตำรวจสภ.บางบัวทองได้ตั้งแถวสกัดและเข้าเจรจาให้นายพันธ์ศักดิ์ขี้นรถไปยังสน.ปทุมวัน หลังจากเดินออกจากบ้านได้ไม่นานนัก ภาพโดย Banrsdr Photo

นายพันธ์ศักดิ์ถูกจับกุมในวันที่ 26 มี.ค.58 ก่อนการจัดกิจกรรมพลเมืองรุกเดิน#2 และถูกดำเนินคดีในความผิดตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 และข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จากการเดินในวันที่ 15 มี.ค.58 นับเป็นการจับกุมดำเนินคดีต่อกิจกรรมที่มีผู้ชุมนุมจำนวนน้อยที่สุด คือเพียงหนึ่งคน แต่กลับถูกดำเนินคดีในข้อหาชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ตามประกาศคสช.ฉบับที่ 7/2557 รวมถึงข้อหาการสร้างผลกระเทือนต่อความมั่นคงตามมาตรา 116 แม้จะเป็นเพียงการเดินเท้าเพียงคนเดียวไปให้การเพิ่มเติมจากการถูกดำเนินคดีอยู่แล้วก็ตาม

2.คดีที่ฝากขังดึกที่สุด: กระบวนการฝากขังขบวนการประชาธิปไตยใหม่ที่ยาวนานข้ามคืน

วันที่ 26 มิ.ย.58 ถือเป็นค่ำคืนที่ยาวนานสำหรับกลุ่มนักศึกษาและประชาชนขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษากรุงเทพฯ และกลุ่มดาวดินจากขอนแก่น รวม 14 คน หลังจากเวลาประมาณ 17.30 น. ทั้ง 14 คน ถูกควบคุมคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจเกือบร้อยนาย ที่เข้าปิดล้อมสวนเงินมีมา ของมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ตามหมายจับศาลทหารจากกรณีการทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 25 มิ.ย.58 ในฐานความผิดฝ่าฝืนการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5คนขึ้นไป ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58

ทั้งหมดถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง เพื่อทำบันทึกการจับกุม แต่มีปัญหาโต้แย้งข้อเท็จจริง ซึ่งขบวนการประชาธิปไตยใหม่ต้องการให้ระบุในบันทึกจับกุมว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารร่วมปฏิบัติการจับกุมด้วย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยินยอม จึงยังไม่มีการลงชื่อในบันทึกจับกุมในวันนั้น ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงนำตัวทั้งหมดไปฝากขังยังศาลทหารในคืนนั้น โดยระหว่างกระบวนการฝากขัง บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าไปยังศาลทหารเพื่อร่วมกระบวนการดังกล่าวได้ แม้คดีดังกล่าวจะไม่ได้สั่งพิจารณาลับก็ตาม มีเพียงทนายความ เจ้าหน้าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฝ่ายการนักศึกษาที่สามารถเข้าไปได้

ปกติแล้วศาลทหารจะเปิดทำการเพียงเวลา 16.30 น. แต่ในวันดังกล่าว ศาลทหารกลับเปิดรอรับคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวนจนถึงเวลาประมาณ 22.00 น. และกว่ากระบวนการขอฝากขังและคัดค้านการฝากขังทั้งหมดจะเสร็จสิ้น ก็เป็นเวลาประมาณ 00.30 น.แล้ว นับเป็นเวลาทำการฝากขังดึกที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในศาลใด และเป็นการพิสูจน์ความเป็นอิสระและเป็นกลางของศาลทหารได้เป็นอย่างดี


ภาพจำลองเหตุการณ์ฝากขังกลุ่ม NDM ที่ศาลทหารในคืนวันที่ 26 มิ.ย.2558

นอกจากนี้ ภายหลังการฝากขังเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดยพล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ได้ขอเข้าตรวจค้นรถของนางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความ เพื่อขอตรวจค้นโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาทั้ง 14 ราย แต่เนื่องจากทนายความเห็นว่าพนักงานสอบสวนได้อยู่ร่วมกับผู้ต้องหามาตั้งแต่เวลา 17.00 น.จนถึง 00.30 น.โดยมิได้ขอตรวจยึดโทรศัพท์มือถือจากผู้ต้องหาและไม่สามารถตอบได้ว่าต้องการสิ่งใดในโทรศัพท์มือถือ จึงไม่อนุญาตให้ทำการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการยึดรถและผนึกรถด้วยกระดาษ A 4 ทำให้เจ้าหน้าที่จากศูนย์ฯ ต้องนอนเฝ้ารถคันดังกล่าวบริเวณหน้าศาลทหารตลอดทั้งคืน

3.คดีระเบิดหน้าศาลอาญา : จำเลยอย่างน้อย 4 ราย ร้องเรียนการถูกซ้อมทรมาน

สืบเนื่องจากเหตุระเบิดศาลอาญาในตอนค่ำของวันที่ 7 มี.ค.58 โดยคดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 14 ราย ผู้ต้องหา 4 ราย ในความรับผิดชอบศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ร้องเรียนว่าถูกซ้อมทรมานระหว่างการสอบสวน ได้แก่ นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน² นายชาญวิทย์ จริยานุกูล นายนรพัฒน์ เหลือผล และนายวิชัย อยู่สุข โดยรูปแบบการซ้อมทรมาน เช่น การชกต่อย การกระทืบบริเวณศีรษะ ทรวงอก หลัง และข่มขู่ว่าจะทำร้าย เพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลจากผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ผู้ต้องหาบางรายยังโดนช็อตด้วยไฟฟ้า โดยเฉพาะของนายสรรเสริญที่ระบุว่าตนเองโดนช็อตที่ต้นขาถึง 30-40 ครั้ง และปรากฏร่องรอยดังกล่าวบริเวณผิวหนัง ระหว่างการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก ทางศูนย์ทนายฯ ได้ทำหนังสือถึงพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสำนวนคดี ขอให้รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการซ้อมทรมานกรณีนายสรรเสริญ แต่ภายหลังได้รับหนังสือตอบจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า บาดแผลของนายสรรเสริญสันนิษฐานว่าเกิดจาก “การกระทบหรือล้มไปกระทบกับสิ่งของไม่มีคม แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด” แม้ว่าในรายงานตรวจสอบของพนักงานสอบสวนนั้น จะปรากฏบันทึกการตรวจร่างกายผู้ต้องหาโดยแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจและทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จะระบุว่าพบรอยแผลไฟไหม้ก็ตาม

ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร ศูนย์ทนายฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการซ้อมทรมานระหว่างการถูกควบคุมตัวทั้งหมด 19 ราย ซึ่งข้อร้องเรียนระบุว่ามีการซ้อมทรมานเกิดขึ้นระหว่างการควบคุมตัวเจ็ดวันภายใต้กฎอัยการศึก หรือคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่3/58 ซึ่งไม่มีบุคคลภายนอกเข้าไปตรวจสอบได้ และเมื่อมีการซ้อมทรมานเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเข้าถึงพยานหลักฐาน รวมถึงเมื่อเกิดข้อร้องเรียนขึ้นแล้ว ยังมีปัญหาในการสอบสวนที่ขาดความเป็นอิสระและเป็นกลาง คดีระเบิดหน้าศาลอาญาจึงเป็นอีกคดีหนึ่งซึ่งมีผู้ต้องหาร้องเรียนปัญหาการซ้อมทรมานจำนวนมากในคดีเดียวกัน

ภาพรอยบาดแผลตามร่างกายของสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน

ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม

นอกจากศูนย์ทนายฯ จะได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการซ้อมทรมานจำเลยระหว่างการสอบสวนในคดีระเบิดศาลอาญาแล้ว คดีนี้ยังเป็นอีกคดีหนึ่งที่กระบวนการยุติธรรมเกิดความล่าช้าอย่างมาก โดยศาลทหารได้นัดสอบคำให้การจำเลยทั้งหมดครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 พ.ย.58 ซึ่งห่างจากวันที่อัยการได้ส่งฟ้องตั้งแต่ 5 มิ.ย.58 เป็นเวลา 5 เดือน คดีนี้ยังเกิดปัญหาฝ่ายโจทก์ฟ้องซ้อนกับจำเลยในคดีบางราย ทำให้การสอบคำให้การต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 19 ม.ค.2559 ซึ่งทำให้จำเลยในคดีซึ่งยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ³ ต้องรอกระบวนการดังกล่าวมาเป็นเวลาอย่างน้อย 7 เดือน โดยยังไม่ได้เริ่มพิจารณาคดี นอกจากนั้นคดีของพลเรือนที่ขึ้นสู่ศาลทหารและมีการสืบพยานตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหารเป็นต้นมา ประสบปัญหาความล่าช้าในการนัดสืบพยานหลายคดี เนื่องจากศาลทหารไม่มีการกำหนดวันนัดสืบพยานทั้งหมดในคดีไว้ตั้งแต่วันนัดพร้อม แต่จะเป็นการนัดหลังสืบพยานเสร็จเป็นครั้งๆ ไป แต่ละนัดห่างกันกว่าเดือน และมักจะสืบพยานกันเพียงครึ่งวันเช้าหรือบ่ายเท่านั้น หลายครั้งพยานบางปากต้องมาให้การในศาลถึง 2-3 วัน ทำให้กระบวนการพิจารณาคดียืดเยื้อยาวนาน

4.ใช้กฎหมายความมั่นคงมาดำเนินคดีต่อการวิจารณ์ตัวบุคคล: คดีโพสต์ประยุทธ์โอนเงิน

ตลอดปีที่ผ่านมาเกิดการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งบัญญัติอยู่ในหมวดความมั่นคง มาใช้ในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพการแสดงออก โดยเฉพาะจากการวิพากษ์วิจารณ์ คสช.หลายกรณี และหนึ่งในกรณีที่ได้รับความสนใจอย่างมาก คือ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมของปีนี้ นางรินดา พรศิริพิทักษ์ได้ถูกจับกุมและดำเนินคดีด้วยข้อหาปลุกปั่นยุยง ตามมาตรา 116 และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและภรรยา ว่ามีการโอนเงินออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งรินดายอมรับว่าได้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง แต่เห็นว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ตามปกติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนที่ผ่านมาๆ ก็เกิดกรณีลักษณะนี้มาก่อน

วันที่ 21 ธ.ค.58 ศาลทหารกรุงเทพมีความเห็นว่าคดีของรินดาไม่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 116 เป็นเพียงคดีหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ศาลจึงจะทำความเห็นส่งให้ศาลอาญาพิจารณาขอบเขตอำนาจศาล และนัดมาฟังความเห็นและคำสั่งศาลต่อไป ทั้งนี้หากศาลอาญามีความเห็นตรงกับศาลทหาร จะส่งผลให้คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจพิพากษาของศาลทหาร4

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่ามาตรา 116 ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหนึ่ง ในกรณีที่บุคคลอาจกระทำความผิดที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทผู้มีอำนาจในรัฐบาลหรือคสช.แทนที่เจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีในฐานความผิดดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ทหารกลับนำมาตรา 116 มาใช้ในการกล่าวหา เพื่อให้คดีดังกล่าวขึ้นสู่การพิจารณาของศาลทหาร อาทิเช่น คดีพลเมืองรุกเดินของพันศักดิ์ ศรีเทพ คดีชญาภา ซึ่งโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการปฏิวัติซ้อน หรือล่าสุดกรณีการโพสต์เกี่ยวแผนผังการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ รวมถึงคดีนี้ซึ่งศาลทหารเองมีความเห็นแล้วว่าเป็นเพียงคดีหมิ่นประมาทฯ ซึ่งหากศาลทหารมีความเห็นในแนวทางดังกล่าวก็สามารถไม่รับฟ้องคดีประเภทดังกล่าวในอนาคตตั้งแต่ต้น

5.โทษจำคุกหนักที่สุดในประวัติศาตร์ : คดีมาตรา 112 ของ ‘พงษ์ศักดิ์’ จำคุก 60 ปี

วันที่ 7 สิงหาคม 58 อาจนับเป็นวันที่ “โหดร้าย” ที่สุดในรอบปีนี้ เมื่อศาลทหารได้ทำ “สถิติ” ใหม่ถึงสองครั้งในวันเดียวกัน คือการพิพากษาคดีมาตรา 112 ด้วยโทษจำคุกสูงที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์

ในช่วงเช้าวันนั้น ศาลทหารกรุงเทพฯ พิพากษาจำคุก ‘พงษ์ศักดิ์’ จากกรณีถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊กเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ในชื่อ ‘samparr’ จำนวน 6 ข้อความ โดยให้จำคุกกรรมละ 10 ปี รวมจำคุก 60 ปี แต่เนื่องจากให้การรับสารภาพ จึงลดโทษจำคุกเหลือ 30 ปี ขณะเดียวกันในช่วงบ่าย ศาลทหารเชียงใหม่ได้พิพากษาจำคุก ‘ศศิวิมล’ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊กเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ในชื่อ ‘รุ่งนภา คำภิชัย’ จำนวน 7 ข้อความ ศาลให้จำคุกกรรมละ 8 ปี รวมจำคุก 56 ปี ให้การรับสารภาพ จึงเหลือจำคุก 28 ปี

ทั้งสองกรณีชี้ให้เห็นการเพิ่มอัตราโทษอย่างหนักหน่วงของศาลทหารในคดีมาตรา 112 จากเดิมในศาลยุติธรรม อัตราโทษต่อกรรมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ปี แต่ในศาลทหารอัตราโทษถูกทำให้เพิ่มสูงขึ้นไปที่กรรมละ 8-10 ปี อีกทั้งการฟ้องร้องคดียังมีลักษณะของการนับจำนวนกรรมจากข้อความบนเฟซบุ๊กเป็นรายข้อความ ทำให้ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาด้วยจำนวนหลายกรรมอย่างไม่เคยมีมาก่อน และนำไปสู่การทำให้ความผิดจากการ “แสดงความคิดเห็น” มีโทษที่หนักหน่วงจนน่าตกใจ ในปีหน้านี้ ยังมีคดีที่น่าจับตาว่าจะมีการพิพากษาด้วยโทษที่สูงอีกคดีหนึ่ง ได้แก่ คดีของ ‘อัญชัน’ ในศาลทหารกรุงเทพฯ ซึ่งถูกกล่าวหาจำนวนถึง 29 กรรม จากกรณีอัพโหลดและเผยแพร่คลิปของ ‘บรรพต’ ขึ้นบนเว็บไซต์ยูทูป

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : 10 คดีเด่นในศาลทหารประจำปี 2558 ตอนที่ 2

1 เปิดสถิติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร
2 สรรเสริญได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการคดีนี้และประวัติชีวิตตน โดยย่อไว้ ที่ “เบื้องหลัง ‘สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน’ ไม่รับสารภาพ คดีระเบิดหน้าศาล
3 มีเพียงธัชพรรณ ปกครอง ที่ศาลทหารอนุญาตให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 500,000 บาท ไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน เนื่องจากขณะนั้นเธอกำลังตั้งครรภ์อยู่เป็นเวลา 7 เดือนแล้ว และยังเป็นโรคธาลัสซีเมียอีกด้วย
4 ศาลทหารชี้คดีรินดาโพสประยุทธ์โอนหมื่นล้านไม่เข้าม.116 แต่เป็นคดีหมิ่นประมาทฯ


ooo




ที่มา Thai Lawyers for Human Rights
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
6. คดีพิศวงและชวนสยอง: ความตายระหว่างควบคุมตัวภายในเรือนจำชั่วคราวฯ มทบ.11²

ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2558 ปรากฏเหตุการณ์ที่นับได้ว่าน่าพิศวงและสร้างความสยองในรอบปีนี้ ภายหลังเกิดกระแสข่าวการควบคุมตัวนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ เมื่อวันที่ 16 ต.ค.58 ตามมาด้วยการปฏิเสธการควบคุมตัวโดยพล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการปราบปราม แต่ต่อมาในวันที่ 21 ต.ค.58 นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา และเลขานุการของนายสุริยัน กลับถูกนำตัวมาทำการฝากขังที่ศาลทหาร ในข้อหาตามมาตรา 112 และถูกนำตัวไปควบคุมยังเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ไม่กี่วันต่อมา กลับปรากฏการเสียชีวิตของพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ในวันที่ 23 ต.ค.58 โดยสาเหตุถูกระบุว่าเป็นการผูกคอตนเองตาย อีกทั้งในวันที่ 7 พ.ย.58 นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ก็เสียชีวิตตามมา โดยถูกระบุสาเหตุว่ามีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ข้อมูลทั้งหมดมาจากแถลงการณ์ของกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่อาจถูกตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเรือนจำภายในค่ายทหาร และทั้งสองกรณีไม่ปรากฏว่าญาติได้รับแจ้งให้เข้าร่วมกระบวนการชันสูตรพลิกศพ รวมไปจนถึงการพิธีเผาศพในทันที โดยไม่มีพิธีกรรมสวดศพตามความเชื่อในพุทธศาสนา

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าปัญหาดังกล่าว เกิดจากการใช้อำนาจควบคุมตัวบุคคลตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58 โดยไม่เปิดเผยสถานที่และไม่ให้ญาติหรือทนายความเข้าเยี่ยมได้ รวมไปถึงการจัดตั้งเรือนจำชั่วคราวขึ้นภายในเขตมณฑลทหารบกที่11 ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวขาดการตรวจสอบถ่วงดุลโดยบุคคลภายนอก เมื่อเกิดการละเมิดสิทธิจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนถึงสาเหตุในการเสียชีวิตของบุคคลทั้งสอง คดีนี้จึงนับเป็นคดีที่น่าพิศวงและชวนสยองติดอันดับคดีหนึ่ง


ลำดับจากขวาไปซ้าย พ.อ.พิสิษฐ์ศักดิ อิศรางกูร ณ อยุธยา, สุริยัน สุจริตพลวงษ์, พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ และพ.อ.คชาชาต บุญดี

7. คดีที่มีการคุกคามการทำหน้าที่ทนายความอย่างร้ายแรง: “คดีเตรียมป่วน Bike for Dad”²

ปลายเดือนพฤศจิกายน 2558 ขณะที่กำลังมีการเตรียมจัดงานปั่นเพื่อพ่อ (Bike for Dad)ปรากฏข่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 9 ราย ซึ่งมีพฤติการณ์ในการวางแผนสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนงานสำคัญในหลายพื้นที่ ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ผู้ต้องหา 4 ใน 9 ราย เป็นจำเลยในคดีขอนแก่นโมเดล ซึ่งมีเบญจรัตน์ มีเทียน เป็นทนายความ โดยนายธนกฤต ทองเงิน เพิ่ม หนึ่งในผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดลและคดีนี้อยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวในเรือนจำขอนแก่น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้โทรศัพท์ในการร่วมกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา

วันที่ 29 พ.ย.58 เบญจรัตน์ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพล.ต.วิจารณ์ จดแตง ในฐานะหัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมาย คสช. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน เนื่องจากเหตุการออกหมายจับธนกฤต ทำให้หลังจากการแจ้งความดังกล่าวเบญจรัตน์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์ติดตามนับสิบสาย

ต่อมาในวันที่ 30 พ.ย.58 ภายหลังเบญจรัตน์ มีเทียนเข้าเยี่ยมลูกความที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี กลับถูกกักตัวไม่ให้ออกจากเรือนจำจนต้องอาศัยช่วงจังหวะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากองบังคับการปราบปรามมาติดตามตัววิ่งหนีออกมา แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังติดตามเบญจรัตน์และไปนั่งเฝ้าเบญจรัตน์หน้าห้องพิจารณาคดี และขอให้เข้ามายังกองบังคับการปราบปรามเพื่อให้ถอนแจ้งความ แต่เบญจรัตน์ปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าพบนายธนกฤตข่มขู่ว่าเขาแจ้งความเท็จ และให้เขาเซ็นถอนแจ้งความ โดยเสนอที่จะถอนหมายจับเขาเป็นการแลกเปลี่ยน วันที่ 8 ธ.ค.58 พล.ต.วิจารณ์ จดแตง พร้อมด้วย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมาย คสช. ยังเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับทนายความเบญจรัตน์ ในความผิดฐาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน และข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา


ทนายความเบญจรัตน์ มีเทียนให้สัมภาษณ์สื่อภายหลังจากดำเนินการฟ้องร้องที่ศาลอาญาฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท ต่อพล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่ฝ่ายกฎหมาย คสช. และ พ.ต.ท.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ หัวหน้าพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ภาพโดย Banrsdr Photo


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ทนายความอย่างร้ายแรง ทั้งการคุกคามระหว่างเข้าพบลูกความและสอบข้อเท็จจริงที่เรือนจำชั่วคราวฯ การติดตามของพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการถอนแจ้งความ และการถูกแจ้งความดำเนินคดีกลับ จากการทำหน้าที่ทนายความให้นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม ทั้งหมดอาจส่งผลให้ทนายความมีความหวาดระแวงในการทำหน้าที่ต่อไป อีกทั้งหลักการที่ว่าผู้ต้องหาต้องได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจำมีคำพิพากษาถึงที่สุด อันเป็นหัวใจของกระบวนการยุติธรรม ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง หากผู้ต้องหาไม่อาจเข้าถึงทนายความได้

8. คดีประหลาด: กรณีหมิ่นสุนัขทรงเลี้ยง

หนึ่งในคดีที่สร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมและตกเป็นข่าวไปทั่วโลก คือการจับกุมนายฐนกร ศิริไพบูลย์ด้วยข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 โดยพิจารณาฐานความผิดตามกฎหมายแล้ว อาจไม่รู้สึกว่าคดีนี้มีความแปลกประหลาด เพราะนับแต่ที่ คสช.ยึดอำนาจก็ได้มีการดำเนินคดีในฐานความผิดเหล่านี้อย่างเอิกเกริก แต่หากจะบอกว่าฐนกรถูกจับเพราะการกดไลค์ภาพบนเฟซบุ๊ก การโพสต์เสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง และการแชร์ผังทุจริตอุทยานราชภักดิ์ อาจจะพอทำให้เครื่องหมายคำถามลอยวนไปเวียนมาอยู่ในใจใครหลายคนได้บ้าง

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี แม้หลักกฎหมายอาญาจะระบุว่าต้องตีความกฎหมายโดยเคร่งครัด แต่สำหรับการตั้งข้อกล่าวหาต่อฐนกรในคดีนี้มีลักษณะการขยายการตีความมาตรา 112 ให้ครอบคลุมไปถึงสุนัขทรงเลี้ยง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจยังออกมากล่าวโดยพร้อมเพรียงกันว่า แค่กด “ไลค์” ข้อความที่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ก็ถือว่ามีความผิดตามมาตรานี้ไปด้วย ยิ่งพาให้ประชาชนตระหนกตกใจกันไปทั้งเมืองว่าเสรีภาพการแสดงออนไลน์ยุคนี้ยังมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ในปีหน้าจึงน่าจับตาว่าทั้งพนักงานสอบสวน อัยการทหาร และศาลทหาร จะมีความเห็นต่อกรณีนี้อย่างไรต่อไป จะสร้างบรรทัดฐานของการตีความกฎหมายขยายความในลักษณะนี้หรือไม่ อย่างไร


นายฐนกร ศิริไพบูลย์ ขณะถูกนำตัวกลับเรือนจำหลังฝากขังผัดแรกเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2558 ภาพโดย Banrsdr Photo

9. คดีลักหลับ: คดีโพสต์ข้อความปฏิวัติซ้อน

ควบคุมตัวจากบ้านไปค่ายทหารอย่างเงียบๆ อัยการสั่งฟ้องอย่างเงียบๆ และพิพากษาในวันนัดสอบคำให้การอย่างเงียบๆ สำหรับคดีของชญาภา จำเลยในคดีโพสต์ข่าวลือในทำนองว่าจะมีการปฏิวัติซ้อนบนเฟซบุ๊ก ทำให้ถูกกล่าวหาด้วยมาตรา 116 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พร้อมกับเพิ่มข้อหามาตรา 112 จากข้อความอื่นที่มีการโพสต์ด้วย การดำเนินกระบวนการยุติธรรม ‘อย่างเงียบๆ’ เช่นนี้อาจไม่ถึงขั้นลักหลับ ถ้าหากชญาภาจะไม่ได้แต่งทนายความเข้ามาในคดีนี้อยู่แล้ว และศาลทหารกรุงเทพจะนำตัวจำเลยมาในวันที่ฟ้องคดีเช่นเดียวกับศาลยุติธรรม รวมถึงแจ้งวันนัดให้ทั้งจำเลย ญาติจำเลย หรือทนายความทราบล่วงหน้า

กรณีของชญาภานั้น เนื่องจากจำเลยอยู่ในการควบคุมของทัณฑสถานหญิงกลาง ศาลทหารกรุงเทพจึงไม่นำตัวจำเลยมายังศาลในวันที่มีการฟ้องคดี ซ้ำยังไม่อนุญาตให้ทนายความคัดถ่ายสำเนาคำฟ้องในครั้งแรก โดยอ้างว่าศาลต้องส่งคำฟ้องไปให้จำเลยอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนัดสอบคำให้การศาลยังได้พิพากษาจำคุกจำเลย โดยที่จำเลยทราบล่วงหน้าว่าต้องมาศาลในคืนก่อนวันนัดไม่กี่ชั่วโมง ขณะทนายความซึ่งไปติดตามนัดหมายคดีที่ศาลทหารมาโดยตลอดจนถึงก่อนวันนัดหนึ่งวัน ก็ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ศาลทหารเพียงว่าคดีของชญาภานั้นยังไม่กำหนดวันนัด ทำให้วันรุ่งขึ้นที่นัดสอบคำให้การ ชญาภาถูกนำตัวมาศาลทหารกรุงเทพและมีการพิจารณาพิพากษาคดีโดยปราศจากทนายความในกระบวนการ ทั้งศาลยังยกคำร้องขอคัดค้านกระบวนพิจารณามิชอบของทนายความในกรณีดังกล่าว ส่วนตัวชญาภาแจ้งแก่ทนายความว่าเพิ่งได้รับเอกสารหมายนัดหลังกลับไปทัณฑสถานหญิงกลางในวันที่มีการพิพากษา นับเป็นคดีที่สะท้อนให้เห็นปัญหาในทางปฏิบัติในการอำนวยความยุติธรรมของศาลทหารได้เป็นอย่างดี แต่ผลเสียทั้งหมดกลับตกอยู่กับประชาชน

10. คดีจับกุมคนป่วย: กรณีธเนตร อนันต์วงษ์ ถูกอุ้มจากโรงพยาบาลสิรินธร

ข่าวที่อยู่ในความสนใจของประชาชนช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2558 คงต้องมีเรื่องการตัดตู้รถไฟขบวนของนักศึกษา-นักกิจกรรมที่เดินทางไปในกิจกรรม ‘นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง’ ติดอันดับเข้ามาด้วยอย่างแน่นอน แม้วันนั้น ผู้ถูกควบคุมตัวทั้งหมด 36 คน จะได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน ทว่ารัฐบาล คสช. กลับใช้วิธีตามเช็คบิลย้อนหลังรายบุคคล และธเนตร อนันตวงษ์ คือหนึ่งใน 36 คน ที่โดนคดีนำร่องไปก่อนใครเพื่อน

วันที่ 13 ธ.ค. 2558 ธเนตรอยู่ระหว่างเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสิริธร เขาถูกควบคุมตัวไปโดยเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบ กว่า 6 วัน โดยไม่มีใครทราบชะตากรรม แม้เพื่อนจะพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอนำยาไปให้ธเนตร ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พบ ทำให้ ‘จ่านิว’ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ต้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวธเนตร เนื่องจากถูกควบคุมตัวมิชอบ ต่อศาลอาญาถึง 2 ครั้ง แต่ศาลกลับยกคำร้องโดยไม่ดำเนินการไต่สวนผู้ร้องทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 ระบุว่า ให้ศาลดำเนินการไต่สวนฝ่ายเดียวโดยด่วน ถ้าศาลเห็นว่าคำร้องนั้นมีมูล ศาลมีอำนาจสั่งผู้คุมขังให้นำตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลโดยพลัน นับเป็นการยอมรับอำนาจคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/58 โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ว่าเป็นการควบคุมตัวบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทำให้ตลอดเวลาที่ธเนตรถูกควบคุมตัวโดยญาติและทนายความไม่สามารถเข้าพบได้นั้น อาจจะทำให้ไม่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเพียงพอ รวมถึงสุ่มเสี่ยงต่อการซ้อมทรมานและบังคับให้สูญหายอีกด้วย


ธเนตร อนันตวงษ์ เข้ารับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลหลังถูกปล่อยตัวจากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีเมื่อคืนวันที่ 18 ธ.ค.2558 ภาพโดย Banrsdr Photo

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : 10 คดีเด่นในศาลทหารประจำปี 2558 ตอนที่ 1


¹ เปิดสถิติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร

² ความเห็นศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนต่อการตั้งเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี และต่อการตายของพันตำรวจตรีปรากรม วารุณประภา และนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์

³ ประมวลเหตุการณ์คดีผู้ต้องหาวางแผนป่วนกิจกรรม Bike for Dad