วันศุกร์, ตุลาคม 09, 2558

ใครต่อใครในสากลโลกเขารู้แล้ว ประเทศไทยเผด็จการแค่ไหน จะแก้ภาพพจน์อย่างไรก็แก้ไม่ตก เพราะเขารู้กันหมดไส้หมดพุงแล้วละลุง




กลับจากยูเอ็นไม่ทันไร ทั่นผู้ยิ่งใหญ่ไอเดียเจ๋ง

“นายกฯ สั่งจัดทำชุดข้อมูลแจงต่างชาติเข้าใจสถานการณ์ไทย” นั่นตามที่ ‘แอสทีวีผู้จัดการออนไลน์’ พาดหัวข่าว
(http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx…)

ส่วนเวอร์ชั่นเดอะเนชั่นตามนี้ “Thai govt to launch info campaign to correct image of country.”
(http://www.nationmultimedia.com/…/Govt-to-launch-info-campa…)

ก็คือทำแคมเปญประชาสัมพันธ์สร้างภาพพจน์ของประเทศไทย เนื่องจากการที่ทั่นไปร่วมประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ ๗๐ แล้วพบว่า

“the international community still had a blurred understanding of the country, especially the situation before the NCPO took over the reins of power last year.”

(พากษ์ไทยได้ประมาณนี้ “ชุมชนนานาชาติยังมีความเข้าใจต่อประเทศของทั่นอย่างเบลอๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ก่อนที่ คสช.จะเข้ามายึดอำนาจเมื่อปีที่แล้ว”)

แต่ข่าวแอสทีวีมีเพิ่มเติมเรื่องเงินๆ ทองๆ เล็กน้อย

“โดยเฉพาะเรื่องของงบประมาณ นายกรัฐมนตรีจึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดทำรายละเอียดว่ามีงบลงทุนเท่าไร งบรายจ่ายประจำเท่าไร และงบที่ต้องนำไปใช้หนี้เท่าไร จากนั้นให้แปลงชุดข้อมูลดังกล่าว เพื่อนำไปทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมาย”

น่าจะอีหรอบเดียวกับเรื่องซื้อเรือดำน้ำนั่นละ ที่ยั้งมือให้ ‘ทบทวน’ ชะลอมาถึงยุค ผบ.ทร.คนใหม่เนี่ย ไม่ใช่เพราะชาวบ้านด่าขรมว่าจะซื้อเรือดำน้ำไว้งมหอยหรืองัย อ่าวไทยไม่ลึกเท่าไหร่

“ไม่ได้ให้ชะลอหรือทบทวนว่าไม่เอาเรือดำน้ำจีน แต่ให้ทบทวนเฉพาะงบประมาณใหม่ และสร้างการรับรู้กับประชาชนถึงความจำเป็นความสำคัญของเรือดำน้ำ” อันนี้พี่ป้อม กลาโหม บอกเอง

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1444183942)

อีกทั้งผู้ณรรมยอดเก่ง ‘ไม่มีใครทำได้’ อย่างทั่น ช่วยยันอีกครั้งว่าต้องเอา

“เส้นทางทางเรืออะไรต่างๆ การคุ้มครองเส้นทางเดินเรือของเรามหาสมุทรด้านทะเลอันดามันเป็นอย่างไร รอบบ้านเขามีหมดทุกอัน เพื่อคุ้มครองเส้นทาง เป็นยุทธศาสตร์ของชาติที่ทุกคนก็ต้องเตรียมความพร้อมไว้เพื่อสร้างดุลแห่งอำนาจให้ทัดเทียมกัน มันจะได้ไม่มีปัญหาถูกรังแก ถูกแย่งชิงทรัพยากรทางทะเล”

(http://prachatai.org/journal/2015/10/61806)

เห็นไหม วิสัยทัศน์ทั่นกว้างกว่าอ่าวไทยนะ ทั่นไปถึงอันดามัน ถ้ารวมถึงตอนไปแมนแฮ้ทตันด้วย ก็ต้องบอกว่าทั่นครอบคลุม East river ด้วย กลับมาถึงได้สั่งวางแผนจัดการ ‘ปรับ’ ทัศนวิสัยต่างประเทศกันขนานใหญ่

ไปนิวหยอกเที่ยวนี้คุ้ม ได้รู้อะไรดีๆ เยอะเลย ว่าต่างด้าวเขามองเห็นคณะปกครองของทั่นอย่างใดบ้าง




อย่างที่สมาชิกสภายุโรปคนแล้วคนเล่าลุกขึ้นอภิปรายในการประชุม Plenary session เรื่องสิทธิมนุษยชนเมื่อวันก่อน

อาจไม่ได้เป็นการบังเอิญหรอกนะ ที่นายริสซาร์ด ซาร์เน็คกิ ผู้อภิปรายคนแรกบอกให้ประเทศไทยรับฟังอย่างไม่เบลอ ต่อข้อเรียกร้องของอียูให้ต้องนำประชาธิปไตยกลับมา

“Thailand must hear very clearly a strong demand on part of the European Parliament that democracy must be reinstated there which the country deserves…”

(http://neurope.eu/…/thai-junta-appoints-new-constitutional…/)

อีกเรื่องหนึ่งที่สมาชิกสภาอียูเป็นกังวลอยู่ที่การควบคุมตัวสื่อมวลชนและผู้ประท้วงในประเทศไทย ทุกคนที่ลุกขึ้นพูดเห็นต้องกันว่า ‘รับไม่ได้’ ทำให้นายซาร์เน็คกิประกาศความเห็นของเขาออกมาว่า สหภาพยุโรปไม่ควรให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยเลย จนกว่าเป็นที่แน่นอนว่าประชิปไตยจะกลับมา

นายซาร์เน็คกิยังย้ำด้วยว่า “เราไม่เพียงแต่จะจับจ้องดูสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเท่านั้น เราต้องบอกอย่างแจ่มแจ้งว่าความร่วมมือทางเศรษฐกิจมันแขวนติดอยู่กับความร่วมมือทางสิทธิมนุษยชน”

เป็นผลให้ท้ายสุดมีการลงมติอย่างพร้อมเพรียง ๕๘๑ ต่อ ๓๕ ให้ “เรียกร้องต่อทางการไทยยกเลิกการตัดสินความผิดและลงโทษ ถอนฟ้อง และปลดปล่อยตัวบุคคลต่างๆ และผู้ประกอบการสื่อสารมวลชน ที่ถูกพิพากษาผิดหรือฟ้องร้อง จากการใช้สิทธิของตนโดยสันติ ต่อเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมกัน”

(http://www.europarl.europa.eu/…/Human-rights-Saudi-Arabia-N…)

ไม่เพียงแต่สภายุโรปประกาศย้ำอีกครั้งว่า การรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นการกระทำที่ ‘ผิดกฏหมาย’ (สากล) เท่านั้น ในการสื่อสารวงกว้างทั่วโลกล้วนแต่ประณามการยึดอำนาจโดยคณะทหารเมื่อปีที่แล้วทั้งนั้น




ล่าสุดจากออสเตรเลียมีการคัดง้างจากวงวิชาการต่อข้ออ้างของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปาฐกถาต่อที่ประชุมสหประชาชาติที่ว่า “always ส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม” เป็นเพียงการดำเนินการที่ย้อนแย้ง ตลกร้าย (irony)

ไทเริล โฮเบอร์คอร์น จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) กล่าวในการเสวนาออนไลน์ podcast ประเด็น ‘Dissent and Dictatorship in Thailand’ ว่า

“นี่เป็นรัฐประหารที่กดขี่ที่สุด และเป็นคณะผู้ปกครองที่กดขี่ที่สุดนับแต่ทศวรรษ ๑๙๗๐ มาเลยทีเดียว...

แม้จะอ้างว่าเป็นเผด็จการเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย แต่การกระทำจริงนั้นกลับตรงกันข้าม

ตั้งแต่มีการยึดอำนาจมา อย่างน้อยมีผู้ถูกเรียกตัวและกักกันโดยคณะรัฐประหารแล้ว ๗๘๒ ราย ไม่ต่ำกว่า ๔๗๙ คนถูกจับกุมเพราะกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงไม่น้อยกว่า ๒๐๙ คนโดนจับเนื่องจากทำการประท้วงโดยสันติ

แล้วยังมีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพใหม่ๆ อีก ๕๘ ราย”

(http://asiapacific.anu.edu.au/…/dissent-and-dictatorship-i…/)

อย่างนี้แสดงว่าใครต่อใครในสากลโลกเขารู้แล้ว รู้ตัวเลข ว่าในประเทศไทยเผด็จการแค่ไหน จะแก้ภาพพจน์อย่างไรก็แก้ไม่ตก เว้นแต่จะกลับไปสู่ประชาธิปไตย คืนสิทธิและเสรีภาพ คืนงบประมาณที่มาจากภาษีอากรให้กับประชาชน

แล้วก็เลิกเล่นจัดสรร ‘งบประมาณ’ กันเสียที ตราบเท่าที่ยังไม่มีปัญญาหาใหม่มาเสริม ไม่ต้องประชาสัมพันธ์ ไม่ต้องสร้างการรับรู้ก็ได้ เพราะเขารู้กันหมดไส้หมดพุงแล้วละลุง