วันพุธ, ตุลาคม 07, 2558

รายงานของอธึกกิต แสวงสุข ไปงาน 6 ตุลาที่ธรรมศาสตร์ รังสิต





Atukkit Sawangsuk



ไปงาน 6 ตุลาที่ธรรมศาสตร์ รังสิต คนเยอะกว่าที่คาดไว้ มีคนต่างๆ รุ่นแต่นักศึกษาเยอะสุดจนเต็มห้องตรงตึกกิจกรรม มีชั้น 2-3 อีกประปราย (คือคิดไว้อย่างมากคง 40-50 เพราะมีงานที่ท่าพระจันทร์ด้วย)

ผมพูด 2 รอบ รอบแรก "บาปที่ยังไม่ชำระ" ของ 6 ตุลามันส่งผลอะไรกับสังคมไทย ข้อแรก การลบลืม 6 ตุลาทำให้คนไทยไม่เก็บรับบทเรียนว่า ความเกลียดชังบ้าคลั่ง (เนื่องจาก...ฯลฯ) ทำร้ายคนและทำลายสังคมไทยมากแค่ไหน ข้อสอง การก้าวข้ามความจริงและความอยุติธรรม ไปสู่การประนีประนอม โดยทอดทิ้งคนเจ็บปวด สิทธิ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไว้เบื้องหลัง กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำซากในสังคมไทย มาจน พค.35 และ พค. 53 "เกี้ยเซียะ" "นิรโทษกรรม" ไม่เว้นกระทั่งทักษิณก็จะนิรโทษกรรม นี่มันคือรากฐานที่ทำให้สังคมไทยไม่มีหลัก

ข้อสาม 6 ตุลา ทำให้เกิดการปิดกั้นภูมิปัญญาในสังคมไทย ครอบงำคนไทยให้เหลือสมองไว้ใช้แค่ครึ่งหนึ่งแต่ดูเหมือนมีปัญญา มันตกทอดมาถึงคนชั้นกลางมีการศึกษาที่เราเห็น ณ วันนี้ซึ่งยอมรับรัฐประหาร แต่หันไปรณรงค์เพื่อสิทธิหมา รณรงค์เพื่อคุณภาพชีวิต รักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม ลดถุงก๊อบแก๊บ ฯลฯ คือรู้สึกว่าตัวเองมีเสรีภาพเต็มเปี่ยมทั้งที่อยู่ใต้ ม.44 เสรีภาพบางด้านที่ชาวโลกสู้กันแทบเป็นแทบตาย คนไทยกลับไม่มีปัญหา เช่น การแต่งงานเพศที่สาม

อันนี้ฝากไว้ว่าน่าจะต้องมีคนผลิตงานวิจัยออกมาหลายๆ ชิ้น ถ้าถามว่าทำไมต้องขีดเส้นที่ 6 ตุลา ก็เพราะ 14 ตุลาเกิดจากอิทธิพลยุคซิกซ์ตี้ บ็อบ ดีแลน เป็นที่มาของหงา คาราวาน ยุคซิกซ์ตี้มันคือการฟอกล้างค่านิยมดั้งเดิม กรอบเกณฑ์ของสังคมเก่าที่ขัดแย้งกับเสรีภาพ ตั้งแต่กัญชา ศาสนา เซ็กส์ ความเสมอภาคทางเพศ สีผิว (จากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง สู่โอบามา) สิทธิมนุษยชนของคนงาน คนชั้นล่าง คนต่างเชื้อชาติ ฯลฯ ของอเมริกามันไปสุด ของยุโรปมันไปสุด แต่ของไทยแป๊บเดียวก็ถูกตัดตอนเมื่อ 6 ตุลา ก่อนที่สังคมจะเข้าสู่ยุคกระตุ้นเศรษฐกิจ โชติช่วงชัชวาล

รอบ 2 ว่าด้วยซ้ายเสื้อเหลืองซ้ายเสื้อแดง ขอขีดเส้นให้ชัดว่า ถ้าอยู่ข้างประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ซ้ายอีกแล้ว เพราะซ้ายกับขวาคิดไม่ต่างกันคือ ต้องใช้อำนาจกวาดล้างสังคม ขวามีเพลงหนักแผ่่นดิน ซ้ายก็จะถั่งโถมโหมแรงไฟ จะโค่นล้มสังคมทรามอยู่เรื่อย ทั้งสองขั้วจึงมาเห็นพ้องกับรัฐประหารเพื่อโค่น "ทุนสามานย์" และเห็นตุลาการภิวัตน์เป็น "ศาลประชาชน" (คือศาลประชาชนนี่มันไม่ต้องมีหลักอะไร แค่ไปชี้หน้าประณามก็ตัดหัวได้)

อุดมคติวันนี้ต้องขีดเส้นชัดเจนว่า ความจริงของโลกคือทุนนิยม ซึ่งมีปัญหามีความเหลื่อมล้ำมีกิเลสตัณหาเป็นแรงขับดัน แต่สังคมนิยมล่มสลายแล้ว เผด็จการคุณธรรมก็ไม่เคยมีจริง ไม่มีหรอก การปฏิวัติรัฐประหารที่จะมากวาดล้างสร้างความเป็นธรรมแล้วเริ่มต้นสังคมใหม่ ที่คู่กับทุนนิยมมีแต่กติกาประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน เริ่มจากอำนาจมาจากเสียงข้างมากแต่กระจายอำนาจตรวจสอบอำนาจได้

ในทางตรงข้ามกับอุดมการณ์ซ้ายขวา ประชาธิปไตย "ไม่มีการต่อสู้ครั้งสุดท้าย" คือไม่ได้บอกว่าโค่นล้มใครแล้วจะฟ้าสีทองผ่องอำไพ แค่ต้องการสังคมเปิดที่เห็นต่างกันอยู่ร่วมกันได้ ต่อสู้ความคิดกันไป

ปิดท้ายขอยกคำพูดจากวงเพื่อนพ้อง มีคนอ่อนใจว่า สถานการณ์วันนี้มองไม่เห็นทางออก อาจต้องไปถึงนองเลือด แต่เพื่อนอีกคนก็บอกว่า นองเลือดแล้วก็มองไม่เห็นทางออกอยู่ดี

ประชาธิปไตยไม่ใช่ได้มาด้วยการนองเลือด โค่นล้ม เพียงแต่ที่การนองเลือดมันเกิดขึ้นทุกครั้งก็เพราะประชาชนถูกบีบคั้นจากความอยุติธรรมจากการอุดปากอุดจมูกเสรีภาพจนร้องว่า "ทนไม่ไหวแล้วโว้ย"

นี่ก็เหมือนปฏิวัติฝรั่งเศส ปฏิวัติเสร็จก็ฆ่ากันเอง ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลานจนนโปเลียนเข้ามาครองอำนาจ แต่ถ้าย้อนไปถามประชาชนวันปฏิวัติ ยังไงมันก็ต้องเกิดเพราะ "ทนไม่ไหวแล้วโว้ย"