วันเสาร์, กันยายน 26, 2558

จะหนีปายหนาย...คสช. กสทช. รมว.ไอซีที ดริฟต์วิ่งซิ่งหนีกระแสการคัดค้าน Single Gateway




ที่มา เพจ
Sarinee Achavanuntakul shared Thai Netizen Network'sphoto.

คสช. กสทช. รมว.ไอซีที ดริฟต์วิ่งซิ่งหนีกระแสการคัดค้าน Single Gateway อย่างรวดเร็ว ล่าสุดด้วยการอ้างว่า "ยังเป็นแค่แนวคิด" (แต่ดันมีข้อสั่งการของนายกฯ ออกมารัวๆ หลายฉบับ ดังที่เว็บ blognone นำมาเผยแพร่)

อยากให้สื่อมวลชนและทุกคนตามประเด็นเหล่านี้ต่อค่ะ:

1. ย้อนไปเดือน ก.ค. 2557 กระทรวงไอซีทีมีคำสั่งแต่งตั้ง "คณะทำงานทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์" (ดูภาพประกอบด้านล่าง) หนึ่งในหน้าที่คือ "ทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์" -- พูดง่ายๆ คือ จะดักข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊กอย่างลับๆ พยายามแฮ็ก SSL เพื่อให้ดูยูสเซอร์เนมกับพาสเวิร์ดได้

อยากถามว่า ปัจจุบันไอซีทีติดตั้งระบบนี้เสร็จแล้วใช่หรือไม่ กำลังพยายามดักข้อมูลผู้ใช้เน็ตใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ไอซีทีใช้อำนาจตามกฎหมายอะไร เพราะการแฮ็กแบบนี้เท่ากับกระทรวงไอซีทีกำลังละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เสียเอง (ลองค้นคำสั่ง/ประกาศ/การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของ คสช. ดูคร่าวๆ ยังไม่พบว่ามีเรื่องนี้เลย)

2. ต่อให้การจัดตั้ง Single Gateway เป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลานาน ก็มีโอกาสที่มันจะเปิดช่องให้เกิดการทุจริตมหาศาล เนื่องจากมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมากมาย แค่ทำรายงานศึกษาความเป็นไปได้ก็อาจต้องใช้เงินงบประมาณกว่า 100 ล้าน ซึ่งไร้สาระมากสำหรับโครงการที่ "แค่คิดก็ผิดแล้ว" ยังไม่นับการสั่งซื้ออุปกรณ์มาทดสอบ ฯลฯ พูดง่ายๆ คือ ต่อให้ทำไม่สำเร็จ กว่าจะรู้ว่าทำไม่ได้ เงินภาษีประชาชนก็อาจถูกผลาญไปมากมาย

คสช. และผู้นำเผด็จการในฐานะนายกฯ ที่ "สั่งการ" เร่งรัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเกิดกระแสต่อต้านจากสังคม จะรับผิดชอบต่อกรณีนี้อย่างไร ที่จริงแนวคิดนี้มาจากไหนกันแน่

3. เมื่อไหร่ประเทศจะได้คนกุมอำนาจเกี่ยวกับไอซีที ที่รู้เรื่องไอซีทีจริงๆ (อันนี้ถามไปในสายลม)




Thai Netizen Network with Nbtc Rights

กระทรวงไอซีทีทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์ แก้ปัญหาอุปสรรคจากการเข้ารหัส SSL ซึ่งทำให้ตรวจสอบเนื้อหาและปิดกั้นเว็บไซต์ไม่ได้

----

คำสั่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ 163/2557
เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์

ตามที่ คณะกรรมการเพื่อติดตามการเผยแพร่ข่าวสารต่อสาธารณะ ได้มีคำสั่งที่ 3/2557 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 แต่งตั้งคณะทำงานด้านสื่อออนไลน์ เพื่อติดตาม กลั่นกรอง ตรวจสอบ รวบรวม วิเคราะห์การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสื่อออนไลน์ทุกประเภท และให้พิจารณาในการกำหนดแนวทางการปฏิบัติมาตรการป้องกันและยับยั้ง เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาวให้เกิดความชัดเจนและมีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โดยมีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ซึ่งการปฏิบัติงานภายใต้อำนาจหน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าว พบว่ามีอุปสรรคในการตรวจสอบและปิดกั้นเว็บไซต์ที่มีการเข้ารหัสป้องกันข้อมูล (SSL : Secure Socket Layer) จึงเห็นควรให้มีการจัดหาและทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะทำงานด้านสื่อออนไลน์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

อาศัยอำนาจตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงแต่งตั้งคณะทำงานทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์ โดยให้มีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้

องค์ประกอบ
...

อำนาจหน้าที่

1. ควบคุมการทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์ที่มีการเข้ารหัสป้องกันข้อมูล (SSL : Secure Socket Layer) และประเมินผล เพื่อให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสมในการใช้งานสำหรับประเทศไทย

2. ประสานทางเทคนิคกับผู้ประกอบการและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตภายในประเทศและที่เชื่อมต่อกับต่างประเทศโดยตรง (International Internet Gateway) ในการทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์

3. ประสานหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดในการทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์

4. เสนอแนะ ปัญหา อุปสรรค แนวทางการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2557

(ลายมือชื่อ)

----

อ่านข่าวประกอบ

"วันเดียวกัน มีรายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้มีการขอความร่วมมือไปยังโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยในการเอาอุปกรณ์ไปติดตั้งที่ดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 15 ก.พ. 2558 เพื่อดักจับแทรฟฟิกผู้ใช้เฟซบุ๊ก ผลคือจะทำให้ดูยูสเซอร์เนมกับพาสเวิร์ดได้ โดยล่าสุดมีผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายราย พบเหตุการณ์ที่หน้าจอปรากฏขึ้นมาให้ระบุตัวตนอีกครั้ง และมีการแจ้งจากทางเฟซบุ๊กว่ามีการเข้าใช้งานจากแหล่งที่มาไม่ปลอดภัย เป็นลักษณะของผู้ใช้ที่ถูกเข้าถึงข้อมูลในเฟซบุ๊ก"

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1421922012