วันศุกร์, กันยายน 04, 2558

BBC Thai : ความเห็นวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ต่อร่างรัฐธรรมนูญ



ที่มา บีบีซีไทย

ความเห็นวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ตอนที่ 1 รัฐธรรมนูญในภาวะสังคมไทยลอกคราบ จะอยู่ยาวเกิน 5 ปีและแก้ไขยากที่สุด

รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน จากกลุ่มนิติราษฎร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับตัวบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติในวันที่ 6 กันยายนนี้ เขาเห็นว่าส่วนที่ต้องพิจารณามากที่สุดก็คือการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการปรองดองแห่งชาติ ตามมาตรา 260 ซึ่งสามารถใช้อำนาจในฐานะรัฐบาลได้ในกรณีที่เกิดวิกฤตรัฐบาลไม่สามารถทำงานได้ รวมถึงจำกัดอำนาจของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการโดยตำแหน่งนั้นระบุไว้ชัดเจนว่า คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา และนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้เห็นว่าอำนาจของทหารนั้นอยู่เหนือพลเรือน ขัดกับหลักประชาธิปไตยที่อำนาจพลเรือนต้องเป็นอำนาจสูงสุด

โดยเขาชี้ว่าในมาตรา 261 ซึ่งกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปรองดองแห่งชาตินั้น งานทั้งหมดที่ระบุก็คือการบริหารงานแผ่นดิน

“มาตรานี้คืออำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งนั้นและมีค่าบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องปฏิบัติตามด้วย และอำนาจนี้ยังถูกเขียนเติมได้อีกในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ” วรเจตน์กล่าวและตั้งคำถามว่า ในมาตรา 261 วรรค 3 ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการสั่งคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาว่า หากคณะรัฐมนตรีทำตามคำสั่งของคณะกรรมการฯ แล้วเกิดความเสียหาย ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

อย่างไรก็ตาม การมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการปรองดองแห่งชาติขึ้นมากำกับรัฐบาลอีกชั้นหนึ่งไม่ใช่เรื่องผิดคาด เพราะเขาคิดว่าในภาวะที่เงื่อนไขทางการเมืองเป็นทางตันก็หนีไม่พ้นต้องออกแบบรัฐธรรมนูญแบบนี้ คือต้องเอาการเมืองในระบอบรัฐสภาไว้ล่างสุด ควบคุมโดยศาลและองค์กรอิสระ โดยมีอีกองค์กรหนึ่งอยู่บนสุดเพื่อใช้อำนาจในภาวะวิกฤต

รศ.ดร. วรเจตน์กล่าวด้วยว่า ในภาวะปกติธรรมดาก็มีกฎหมายเป็นเครื่องมือในการบริหาร แต่ในภาวะที่ไม่ปกติกรณีฉุกเฉินต้องมีกลไกที่ใช้อำนาจอย่างเร็ว ซึ่งในประเทศที่มีพัฒนาการประชาธิปไตยแล้วจะต้องมีการถ่วงดุลกันโดยองค์กรอื่น แต่จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่เห็นว่ามีการถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจในการบริหารเช่นนั้น ซึ่งเขาก็เห็นว่าการมีบทบัญญัติในลักษณะที่มีองค์กรสูงสุดควบคุมกลไกตามระบบรัฐสภาปกติเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าสังคมไทยอยู่ในภาวะของการลอกคราบ ซึ่งจะทำให้เห็นความผิดเพี้ยนบางอย่าง แต่ก็คือสภาวะที่สังคมจะต้องเผชิญ

ในส่วนที่มีการคาดการณ์ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเป็นฉบับที่ใช้ชั่วคราวในระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไทย ไม่เกิน 5 ปีนั้น เขามองต่างไป โดยเห็นว่าบทบัญญัติบางข้อสะท้อนชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะต่ออายุองค์กรที่อยู่เหนือระบอบรัฐสภาออกไปได้อีกอย่างน้อย 5 ปี และเมื่อสถาปนากลไกเช่นนี้ได้แล้วก็อาจจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ นอกจากรัฐธรรมนูญจะเปิดช่องเอาไว้ให้ต่ออายุคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไปอีก 5 ปี เงื่อนไขปัจจัยทางการเมืองไทยและการบัญญัติกฎหมายปิดทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ก็เป็นการป้องกันการแก้รัฐธรรมนูญในภายหน้า ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไขยากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

“การปลดล็อกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันสุ่มเสี่ยงมากในวันหน้า เพราะมันปิดทาง กลไกทางกฎหมายมันถูกบีบให้ไปสู่การต้องลบล้าง ผมจึงเชื่อว่าอนาคตมีโอกาสขยายไปยาวนานกว่า 5 ปีแน่ๆ การบัญญัติบทเฉพาะกาลสะท้อนว่ากลัวการคืนอำนาจกลับไปที่ประชาชน” นักกฎหมายมหาชนกล่าว

(บทวิเคราะห์มี 2 ตอน ตอนหน้าว่าด้วยเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีหลายมาตรฐาน)





ความเห็นวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ต่อร่างรัฐธรรมนูญตอน 2: ตรวจสอบถ่วงดุลหลายมาตรฐาน และบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพที่มาพร้อมข้อจำกัด

รศ.ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนจากกลุ่มนิติราษฎร์ ตั้งข้อสังเกตว่าบทบัญญัติว่าด้วยการลงโทษและการถอดถอนนักการเมืองจากการเลือกตั้งนั้นเข้มงวดกว่าตำแหน่งทางการเมืองที่มาจากการแต่งตั้ง และขณะที่หลายฝ่ายเห็นว่าการบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมีบทบัญญัติรับรองมากขึ้น กลับจะเป็นข้อจำกัดของการใช้สิทธิเสรีภาพได้ในบางกรณี

เขาระบุว่าประเด็นการถอดถอนนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น สาระสำคัญอยู่ตรงที่ความไม่อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ประเด็นนี้อยู่ในมาตรา 240 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์ในการถอดถอนนักการเมืองและข้าราชการประจำที่ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อหน้าที่ในตำแหน่งยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงออกจากตำแหน่ง

ในวรรคเกือบท้ายของมาตรา 240 บัญญัติว่าจำนวนเสียงที่จะใช้ลงมติถอดถอนที่ต่างกัน การถอดถอนข้าราชการระดับประจำ ได้แก่ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ทำได้ยากกว่า เพราะต้องใช้เสียงสามในห้าของสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา ต่างกับฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้ง คือตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสองสภา ทั้งๆ ที่เป็นความผิดในแบบเดียวกัน ถือเป็นระบบถอดถอนที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง

“พอเป็นฝ่ายการเมืองรัฐธรรมนูญระบุให้ใช้สัดส่วนคะแนนเสียงครึ่งเดียว เป็นคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจ รัฐสภา แล้วให้วุฒิสมาชิกจากระบบสรรหาเข้ามามีส่วนในการถอดถอนอีก สะท้อนให้เห็นความสองมาตรฐานความไม่ยุติธรรมทางการเมืองอย่างชัดเจน”

ในมาตรา 240 วรรครองสุดท้ายบัญญัติให้การยกมือโหวตมีผลต่อเรื่องเป็นการตัดสิทธิอย่างร้ายแรงมาก คือตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี หรือในกรณีที่ถูกถอดถอนเพราะเหตุที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ให้มีผลเป็นการตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือสิทธิในการดำรงตำแหน่งอื่นตลอดชีวิต

ในประเด็นนี้เขาชี้ว่า นักการเมืองในระบบเลือกตั้งเป็นการโหวตในทางการเมือง ใช้ความชอบหรือไม่ชอบใจโหวตกันในทางการเมืองได้ จึงไม่ควรมีผลเป็นการตัดสิทธิอย่างร้ายแรงมากเช่นนั้น นอกจากนี้ กรณีกระทำความเสียหายแก่เงินแผ่นดิน จะต้องไปฟ้องศาลวินัยการคลังซึ่งเขาเห็นว่าการบัญญัติแบบนี้จะทำให้เกิดการปรับนักการเมืองชนิดมโหฬาร จนนักการเมืองไม่กล้าออกนโยบาย และจะเป็นเครื่องมือในการเล่นงานกันทางการเมืองได้ง่าย

ในหมวดสิทธิเสรีภาพนั้นเขามีข้อสังเกตว่ารัฐธรรมนูญไทยมีพัฒนาการที่สำคัญ คือรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารจะเขียนเรื่องสิทธิเสรีภาพค่อนข้างมาก แต่ยิ่งมากก็ยิ่งผกผันกับความเป็นประชาธิปไตย เพราะการบรรจุเอาสิทธิต่างๆ มารองรับไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่อีกด้านหนึ่งก็ไปเพิ่มอำนาจตีความให้กับองค์กรที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้สิทธิเสรีภาพ อีกทั้งบางมาตรา ก็มีการวางกรอบจำกัดสิทธิมากขึ้น เช่น เสรีภาพในการชุมนุม ในมาตรา 53 ซึ่งกำหนดให้บุคคลที่เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ จะกระทำได้ก็เฉพาะกรณีเท่าที่จำเป็น และไม่กระทบต่อการรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ความปลอดภัยด้านสาธารณสุข หรือการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น

ที่สำคัญคือ แม้จะมีการรับรองสิทธิเสรีภาพไว้หลายมาตรา แต่ต้องมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเมื่อไม่มียังไม่มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ประชาชนจะอ้างสิทธิอย่างไร