วันอาทิตย์, สิงหาคม 02, 2558

บทความแปลความคิดเห็น: ลาก่อนเงินบาท ถ้าธนาคารกลางตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยอีก.

บทความโพสต์อยู่ใน Facebook ส่วนตัวที่:  บทความแปลความคิดเห็น: ลาก่อนเงินบาท ถ้าธนาคารกลางตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยอีก

อ้างอิงThailand: Bye Bye Baht If Bank Of Thailand Cuts Rates Again

-----------------------------------------------------
ความคิดเห็นจาก Blog ของ Barons.com กล่าวว่า เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ แล้ว ค่าเงินบาทตกลงมา 3.5% เมิ่อเทียบกับสกุล U.S. Dollars ในเดือนกรกฏาคม

ค่าเงินบาทอ่อนลงนั้น ก็ต้องพิจารณาถึงความยืดหยุ่นเมื่อเทียบกับสกุลเงิน Dollars กัน

แต่เรื่องที่ทางธนาคารกลางของ US จะเริ่มเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้นั้น ดูเหมือนว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสนับสนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง (เพื่อสร้างความนิยมให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนอย่างนั้นหรือ?) ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และไม่นานมานี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็ย้ำอีกว่า ยังไม่มีระดับเป้าหมายใดๆ เกี่ยวกับค่าของเงินบาท และในช่วงนี้ ก็เหมือนกับเป็น "การปรับแก้ไข" เท่านั้นเอง ส่วน ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ซึ่งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังกล่าวว่า เขาอยากจะเห็น "ค่าเงินบาทตกลงไปอีกนิดหน่อย" เสียด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้น เขาก็กล่าวว่า "มันเกือบจะถึงระดับที่พอดีๆ แล้ว"

ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการประชุมกันอีกในวันที่ 5 สิงหาคม เพื่อตัดสินใจว่า ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีกครั้งหรือไม่

ธนาคารแห่งประเทศไทยมีความเป็นอิสระจริงๆ หรือ? ธนาคารเองอาจจะลอง "ยั่วยวนความสนใจ" ในการลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไปกระตุ้นการเจริญเติบโต "เมื่อลากตนเองออกมาจากกระแสหลักของฝ่ายเอเซีย และออกมาจากความต้องการในเรื่องสินค้าของตลาดยุโรปแล้ว มันก็มีคุณค่าในผลกระทบด้านบวกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน และสินค้าและความต้องการต่างๆ จากประเทศในแถบอินโดจีน" อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่่ทัศนคติอย่างเป็นเอกฉันท์ ตามที่ผลสำรวจที่ทาง Bloomberg สอบถามกับนักเศรษฐศาสตร์กัน ส่วนใหญ่หวังว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็คงจะไม่ทำการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด

ในเดือนกรกฎาคม มีการเปรียบเทียบระหว่าง ค่าเงิน U.S.Dollars กับ เงินทุนชื่อว่า iShares MSCI Thailand Capped ETF ซึ่งมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของ US ด้วยการใช้ตัวย่อว่า THD ปรากฎว่า ค่าของหุ้น THD นี้ตกไป 9% ก็หมายความว่า ผลการดำเนินงานในเศรษฐกิจของประเทศไทยเอง กลับแย่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเขตภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน

-----------------------------------------------------

ส่วนบทความที่สอง:


สรุปสั้นๆ ก็คือ นักลงทุนต่างชาติ ต่างก็รีบถอนตัวการลงทุนกันออกไปจาก อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และประเทศไทย รวมทั้งที่ เกาหลีใต้ และไต้หวันอีกด้วย ภายในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติ ต่างขายทรัพย์สินในประเทศเขตเอเซียเหล่านี้เป็นจำนวนใกล้เคียง $10,000 ล้านดอลล่าร์ (350,000 ล้านบาท)
แต่สรุปสั้นๆ ว่า ประเทศอินเดีย กลายเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมในการลงทุนเวลานี้ เพราะนำเงินเข้ามาในการลงทุนอย่างสุทธิถึง 827 ล้านเหรียญสหรัฐ (28,945 ล้านบาท) ซึ่งอาจจะมีปัจจัยหลายอย่างรวมกันในเรื่องนี้ด้วย

-----------------------------------------------------

ความคิดเห็นของผู้แปล:

ไปเห็น Blog สองเรื่องนี้เข้า อ่านแล้วคิดว่า น่าสนใจดี ถึงแม้ว่า จะเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนท่านหนึ่ง แต่เธอได้ติดตามเรื่องสต๊อกมาเป็นเวลานานพอสมควรก็ตาม เลยตัดสินใจแปล และนำมาลงให้อ่านกัน

บทความที่เกี่ยวกับประเทศอินเดียว่า เป็นจุดที่หอมหวานในการลงทุนเวลานี้ ตัวดิฉันเองคิดว่า น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี่ ค่าใช้จ่ายต่ำ และที่สำคัญคือ รัฐบาลมีเสถียรภาพในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย พูดง่ายๆ ก็คือ การเมืองเขานิ่งมากๆ

-----------------------------------------------------

กลับมาสู่เรื่องแรกใหม่ เกี่ยวกับเงินบาท (วันนี้ อัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 35 บาท ต่อหนึ่งดอลล่าร์สหรัฐ)

เราก็คงจะทราบแล้วว่า ค่าเงินบาทตกลงไปมากทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับตอนต้นปี 2558 ถ้าท่านมีเงินดอลล่าร์ในเวลานี้ เวลาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก็จะได้เงินบาทมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่มีเงินบาทกัน ดังนั้น ราคาสิ่งของต่างๆ ที่ส่งเข้ามา จะแพงขึ้น เพราะท่านต้องใช้เงินบาทซื้อนั่นเอง

เราก็ต้องลองดูว่า ในวันพุธที่จะถึงนี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย จะตัดสินใจอย่างไรกับอัตราดอกเบี้ย

แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ค่าเงินบาทจะ "ร่วง" ลงไปอีกหรือเปล่า อ่านบทความจากหลายๆ ท่าน โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์นิยม เขาบอกกันว่า เป็นเรื่องดี และอยากจะให้ลงไปถึง 40 บาทต่อดอลล่าร์เสียด้วยซ้ำ เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้าหลายปีแล้ว และทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว "บูม" ขึ้นมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะแห่เข้ามา เนื่องจากค่าเงินบาทต่ำลง

ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหน ตามที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมกล่าวไว้นั้น ท่านก็สามารถแย้งด้วยความเห็นของท่านได้เช่นกัน

(แต่เมื่อหลายปีที่ผ่านมานั้น เมื่อเงินบาทอยู่ที่ 40+ บาทต่อหนึ่งดอลล่าร์ ประเทศไทยยังมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ทั่วโลกยอมรับอยู่ อันนี้จะปฎิเสธไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน)

-----------------------------------------------------

บทความนี้ มีเรื่องที่สร้างความน่าสนใจเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่สังเกตกัน นั่นก็คือ ดิฉันเพิ่งจะทราบว่า มีการซื้อขายหุ้นไทยในอัตรา US Dollars ในตลาด New York Stock Exchange กันด้วย เรียกว่า iShares โดยเฉพาะมีหุ้นซึ่งรวมหุ้นของบริษัทไทย รวมๆ กันเข้ามาหลายบริษัทด้วยกัน (เหมือนกับ Mutual Fund) แล้วใช้ชื่อในตลาดหลักทรัพย์ของ US ว่า THD ซึ่งชื่อเต็มคือ MSCI Thailand Capped ETF (Exchange Traded Fund) จะเห็นว่า ผลการดำเนินการนั้น ก็อยู่ในระดับ OK จาก chart ที่เห็น (มูลค่าตกลงไปมาก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว)

เลยไปดู Fund ตัวนี้ว่า มันประกอบด้วยบริษัทอะไรบ้าง และไปพบว่า บริษัทที่อยู่ใน Fund ตัวนี้ ก็จดทะเบียนซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ของ New York Stock Exchange ด้วยเช่นกัน

นี่คือชื่อของบริษัทต่างๆ ที่ใหญ่ทั้งหมด 10 บริษัทรวมกัน และมีข้อมูล รวมทั้งตัวย่อที่ใช้ในการซื้อขาย บวกกับจำนวนทรัพย์สิน ว่า เป็นจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ของ Fund ตัวนี้ชื่อว่า THD

หุ้นหรือ Fund ของ THD นั้น มี Market Cap คือ ทั้งหมดอยู่ที่ 282.3 ล้านเหรียญสหรัฐ และ มีหุ้นแบบ Outstanding มูลค่าอยู่อีกประมาณ 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐ มีเงินปันผลออกมาอยู่ที่ $3.36 ต่อหนึ่งหุ้น และ มีโอกาสขึ้นไปอีกประมาณ 4.83% ตามที่วิเคราะห์ไว้

สงสัยเหมือนกันนะ ว่า ใครเป็นผู้ดำเนินการหุ้นหรือ Fund ตัวนี้ เพราะต้องมีเงินมากกันเลยทีเดียว

สถิติการซื้อขายหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2558 อยู่ที่ 185,900 หุ้น จำนวนเฉลี่ยการซื้อขายหุ้นในรอบ 10 วันที่ผ่านมา อยู่ประมาณวันละเกือบ 175,000 หุ้น

-----------------------------------------------------

Fund ของ THD ประกอบด้วย  หุ้นของบริษัทต่างๆ  ที่เป็น Top Holding 10 บริษัท (มีมากกว่า 10 แต่ข้อมูลจะมี 10 บริษัท Top Holdings)

หมายถึง Fund นี้ ถือหุ้นเหล่านี้ 10 ตัว ในวงเงินเกือบครึ่งของกองทุน เงินส่วนที่เหลือ ลงทุนในหุ้นตัวอื่นๆหรืออาจมีการลงทุนอย่างอื่น ตามวัตถุประสงค์ของการลงทุนที่เขาต้องแจ้งไว้ ให้ผู้ที่สนใจซื้อหน่วยลงทุนนี้ทราบทั่วกัน

แต่ในที่สุด ผลประกอบการของ Fund นี้ก็ขาดทุนราว 10% ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่ง คงเป็นที่ที่ราคาหุ้นลดลง อีกส่วนคือืเมื่อค่าเงินบาทตกลง มูลค่าหุ้นในราคา USD ก็ลดลงตาม

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการก่อนหน้านี้เมื่อปีก่อน กองทุนนี้ให้ผลตอบแทนผู้ถือหน่วยลงทุน ราว 3-4% กว่า แต่จากนี้ไป คงยากที่จำทำกำไร นอกจากถือไว้ยาวๆเป็นปี

-----------------------------------------------------

 (ข้อมูลเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2558):

1. Ptt PLC DR (บริษัท ปตท )
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: PUTRF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD --> 8.66%

2. Advanced Info Service PLC DR (บริษัท A.I.S.)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: AVIVF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD --> 5.90%

3. Siam Commercial Bank PLC DR (ธนาคารไทยพาณิชย์)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: SMUUF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD --> 5.75%

4. KASIKORNBANK PU F RE (ธนาคารกสิกรไทย)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: KPCPF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD -->5.23%

5. Cp All PLC DR (บริษัท ซีพี)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: CVPUF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD -->4.75%

6. SIAM CEMENT PUBLIC C (บริษัทปูนซีเมนต์ไทย)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: SCVPF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD -->3.55%

7. PTT Exploration & Production PCL DR (บริษัท ปตท)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: PEXUF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD -->3.45%

8. Airports Of Thailand PLC DR (บริษัทท่าอากาศยานไทย)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: AIPUF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD --> 3.29%

9. Kasikornbank Public Co Ltd DR (ธนาคารกสิกรไทย)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: KPCUF
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD -->2.72%

10. PTT Global Chemical PLC Shs Foreign Registered (บริษัท ปตท)
ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange: PTTGC-F
จำนวนทรัพย์สินใน Fund ของ THD --> 2.51%

-----------------------------------------------------

แต่ผลตอบแทนหรือผลการดำเนินการ ตั้งแต่ต้นปี มาจนถึงวันนี้ ก็ติดลบอยู่ 10.01% ถ้านับตั้งแต่ปีที่แล้ว (1 สิงหาคม 2557 - 31 กรกฏาคม 2558) ก็ยังติดลบ อยู่ที่ 10.54% ราคาปิดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $69.71 และเมื่อปีที่แล้ว ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปถึง $85.88 ก่อนที่จะเริ่มตกลงมา โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนเมษายน 2558 (เมื่อประมาณสี่เดือนที่แล้ว)

Updated: มีท่านผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น ส่งข้อมูลเพิ่มมาให้ดังนี้:

มีการเข้าไปจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นในตลาด NYSE แล้วเจตนาของกองทุน ก็เพื่อมาซื้อหุ้นหลักๆของตลาดหลักทรัพย์ของไทย ถ้าใครสนใจจะมาลงทุนซื้อหุ้นในตลาดไทยเพื่อเก็งกำไร แต่ไม่มีเวลามานั่งเฝ้า ก็สามารถมาซื้อหุ้นกองทุนนี้ ที่จะทำหน้าที่ซื้อขายหุ้นหลักๆของไทย และเมื่อผลประกอบออกมามีกำไร ก็จะเป็นกำไรของ Fund ที่จะมาแบ่งผู้ถือหุ้นของ Fund อีกทีหนึ่ง

หวังว่าคงเคลียร์ว่า เจ้า Fund ตัวนี้ (THD) ทำอะไรกันอยู่ใน NYSE  (New York Stock Exchange)

-----------------------------------------------------

สรุปแล้วก็คือ บทความนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ หลายเรื่องจริงๆ คือ ค่าเงินบาท และที่ชอบก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับ Fund ของไทย ว่าเข้ามาทำการ Trade กันใน New York Stock Exchange (NYSE) ด้วย

เชิญท่านผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุนกับ Fund เหล่านี้ ลอง follow up ผลการดำเนินงานของ Fund ตัวนี้ต่อไป

ส่วนใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงของ Fund ตัวนี้ ท่านก็ไปสืบกันเองก็แล้วกัน.....
\