วันอาทิตย์, เมษายน 26, 2558

จม.ถึงอาจารย์ สุลักษณ์ จาก พระภิกขุไพรวัลย์ วรรณบุตร กรณี เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์และด่าทออดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่น้องทั้งสอง


(เหตุผลที่) ประชาธิปไตย...ลงหลักปักฐานในบ้านนี้เมืองนี้ไม่ได้เสียที นั่นก็เพราะว่ามันมีคนอย่างท่านอาจารย์นี่ไง ที่คอยให้ท้ายพวกจัญไรอยู่

ถึงท่านอาจารย์สุลักษณ์ที่นับถือ

เห็นท่านอาจารย์ สุลักษณ์ เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์และด่าทออดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่น้องทั้งสองแล้วนั้น ก็ให้รู้สึกเวทนาแทน ไม่ใช่เพราะในฐานะที่ว่าเขาทั้งสองไม่สมควรถูกด่า แต่เป็นเพราะในฐานะที่ว่าเขาทั้งสองเป็นผู้ได้รับความอยุติธรรมอยู่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะก็ผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงอย่างโยมยิ่งลักษณ์ ที่ท่านอาจารย์สุลักษณ์ใช้คำเรียกเธอว่า เจ้าหล่อน ทั้งยังดูถูกหนังสือของเธออีกว่า คนอย่างเธอนี่หรือจะเป็นผู้ที่คิดอะไรเป็น

แม้ว่าอาตมาจะเห็นว่า การวิพากษ์วิจารณ์อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ จะดูเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะพึงกระทำได้ แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะของความเป็นปัญญาชนสยาม และเป็นผู้ที่ผ่านเรื่องราวทางการเมืองในอดีตมามากต่อมาก อาตมาก็ยังคาดหวังว่า ทุกครั้งของการแสดงความคิดเห็น หรือเขียนบทความ ท่านอาจารย์สุลักษณ์จะมีกรุณาคุณ อย่างไร้ซึ่งความอคติและมีความกล้าหาญทางจริยธรรม เหมือนอย่างที่ตัวท่านเองชอบเอื่อนเอ่ยอยู่บ่อยครั้ง แล้วกล้าที่จะพูดถึงส่วนดีหรือชื่นชมรัฐบาลซึ่งท่านมองว่า อัปรีย์ สักครั้ง แต่มันก็หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ ไหนจะเรื่องที่ท่านอาจารย์กล่าวหาสื่อแห่งหนึ่งว่าเป็นทาสรับใช้หรือรับเงินของนักการเมือง แต่แห่งเดียว โดยมิได้ให้ความเป็นธรรมกับเขาเลย และไม่มองถึงสื่ออื่นๆ ที่เสนอข่าวอย่างไร้จรรยาบรรณและใส่ร้ายโจมตีผู้อื่นอย่างสุดสุด บางสำนัก เช่นกัน

อาตมามองไม่เห็นอะไรเลย จากการวิพากษ์วิจารณ์ของท่านอาจารย์สุลักษณ์ในครั้งนี้ ที่เปรียบเปรยและเสียดสีอดีตผู้นำซึ่งเป็นผู้หญิงอย่างเจ็บแสบ ทั้งยังเขียนข้อความให้ดูเหมือนว่าคณะผู้ยึดอำนาจมีความดีเลิศกว่ารัฐบาลของพลเรือน นี่ไม่เท่ากับว่า ตัวท่านเองกำลังตอกย้ำมายาคติที่ว่า เผด็จการ ดีกว่า ประชาธิปไตย หรอกหรือ ? หรืออาจจะกำลังบอกว่า ทหารมือสะอาดกว่านักการเมือง ?

ถ้าว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของท่านอาจารย์สุลักษณ์ในครั้งนี้ จะเป็นแต่เพียงการด่าทออดีตผู้นำ เท่านั้น อย่างที่ท่านเองชอบทำอยู่เสมอเสมอ โดยมิได้มีการเปรียบเปรยหรือเทียบเคียงกับคณะของผู้ยึดอำนาจที่ทำรัฐประหาร อาตมาจะไม่รู้สึกว่า การแสดงความคิดเห็นของท่าน เป็นการตกขอบหรือออกจะเผยความอคติภายในหัวใจเลย คือ ท่านจะด่าทออดีตผู้นำว่าอัปปรีย์ไม่มีหัวคิด อย่างไรก็ได้ แต่อย่างน้อยถ้าท่านเป็นปราญช์ผู้มีความยุติธรรมอยู่ในหัวใจบ้าง ท่านก็ควรที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าจัญไรพอพอกัน อย่างนี้มันจึงจะถูกมิใช่หรือ หรือถ้าไม่กล้าหาญพอที่จะด่าอีกฝ่าย ก็ไม่ควรเปรียบเปรยให้ใครได้เจ็บช้ำน้ำใจ มิใช่หรือ

การยึดเอาอำนาจของประชาชน แลการปกครองประเทศ ในสภาวะซ้ายหันขวาหัน ที่เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย การห้ามมิให้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานหรือการนำเสนอข่าว ในแง่ลบ การคุกคามนักศึกษาตลอดจนถึงนักวิชาการ นี่ไม่เรียกว่า จัญไร อีกหรือ อยากถามว่า ในรัฐบาลสมัยก่อน อดีตผู้นำซึ่งท่านอาจารย์เรียกเธอว่า เจ้าหล่อนและอัปปรีย์ มีการใช้อำนาจเช่นเดียวกันแบบนี้หรือไม่

สรุปแล้วท่านอาจารย์เองผู้ซึ่งอาตมาให้ความนับถืออยู่มาก ในฐานะของนักอนุรักษ์นิยมรุ่นเก่า ที่มีแนวคิดอันพอจะเป็นประชาธิปไตยในสังคมสมัยใหม่อยู่บ้าง กลับเป็นผู้ที่คอยผลิตซ้ำภาพมายาคติและวาทะกรรม เรื่อง ประชาธิปไตยแต่รูปแบบ หรือเผด็จการโดยธรรม อยู่เรื่อย นี่คงไม่แปลก ที่ว่าทำไมตลอดระยะกว่า ๘๐ ปี ของการมีประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่ลงหลักปักฐานในบ้านนี้เมืองนี้ไม่ได้เสียที นั่นก็เพราะว่ามันมีคนอย่างท่านอาจารย์นี่ไง ที่คอยให้ท้ายพวกจัญไรอยู่

อาตมาพูดในฐานะของกัลยาณมิตรที่ให้ความนับถือท่านอาจารย์สุลักษณ์ และแม้ว่าอาตมาจะเห็นไม่ตรงกับท่านในเรื่องนี้ แต่ก็มิได้หมายความว่าอาตมาก็จะเสื่อมความนับถือในตัวของท่าน เพราะอาตมายังแลเห็นว่า คนอย่างท่านอาจารย์สุลักษณ์เป็นคนที่หาได้ยากและจำต้องปรารถนาคนหนึ่งในสังคมอันเต็มไปด้วยอสัจจธรรมแห่งนี้

ไพรวัลย์ วรรณบุตร


ooo




[ คิดอย่างยิ่งลักษณ์ ]
.
หนังสือสองเล่มนี้ ตีพิมพ์ออกมาเมื่อเจ้าหล่อนหลุดจากอำนาจไปแล้ว หาไม่ก็ย่อมต้องใช้งบประมาณแผ่นดินตีพิมพ์ผลงานของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ทำความชั่วร้ายให้กับบ้านเมืองอย่างสุด ๆ
.
ยิ่งเรื่องที่ว่าด้วย "คิดอย่างยิ่งลักษณ์" ด้วยแล้ว เจ้าหล่อนมีความคิดละหรือ และก็ไม่แปลกใจที่ มติชน และงานดี ตีพิมพ์ออกจำหน่าย เพราะหน่วยงานนี้รับใช้คุณเธอคนนี้สมัยเจ้าหล่อนมีอำนาจ โดยได้รับเงินแผ่นดินไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรบ้าง
.
เล่มใหญ่ที่มีรูปเต็มไปหมด แสดงถึงภาพลักษณ์อันเป็นประจักษ์พยานในการใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปไหนต่อไหน ได้เฝ้าไทต่างด้าวท้าวต่างแดนอย่างไร ๆ โดยใช้เงินแผ่นดินทั้งนั้น และให้ผลอะไรในทางที่เป็นคุณกับประเทศชาติบ้าง อย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยในรูปแบบนั้นเลวร้ายอย่างไร เพียงหย่อนบัตรลงคะแนนก็ให้คนเข้ามีอำนาจได้กระนั้นหรือ ความเลวร้ายที่อยู่หลังฉากเลือกตั้ง ไม่ต้องคำนึงถึงเลยหรือ
.
โดยเฉพาะเรื่อง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร: นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย" นั้น อดไม่ได้ ที่ต้องคิดเปรียบเทียบกับหนังสือที่แจกในงานฉลองหิรัญบัตรของพระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา ซึ่งเต็มไปด้วยรูปที่พระคุณท่านพบปะคนใหญ่คนโตแทบทั่วทั้งโลก รวมทั้งคนใหญ่คนโตภายในประเทศด้วย นี่ก็ดูว่าเจ้ากูรูปนี้แสดงบทบาทได้ แทบไม่ต่างไปจากนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกเอาเลย ไม่ปรากฏว่ามีผลงานของพระคุณท่านในทางธรรมเทศนาหรือธรรมปฏิบัติ และที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ เวลาพระคุณท่านไปที่ไหน ๆ มีการรีดไถเงินจากเจ้าคณะ พระสังฆาธิการใต้บังคับบัญชาให้เอามาส่งส่วย เจ้าคณะที่เหนือขึ้นไปอีกด้วย หวังว่า คำนินทาที่ว่านี้ จะไม่เป็นจริง ถ้าเป็นจริง ก็แสดงว่า การที่พระคุณท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์อย่างรวดเร็วนั้น คงจะมีส่วนมาจากการหาเงินหาทองถวายผู้บังคับบัญชาของท่านกันมาโดยตลอดละกระมัง
. และคนที่ไม่มีความคิดอย่างยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะทักษิณ ชินวัตรสั่งได้มิใช่หรือ
เจ้าหล่อนอยู่อำนาจได้เพียงสองปีเศษ ได้นำความหายนะให้กับบ้านนี้เมืองนี้อย่างสาหัสสากรรจ์เพียงไร หนังสือทั้งสองเล่มนี้ย่อมไม่เอ่ยถึงอยู่แล้ว
.
แค่จำนำข้าวเรื่องเดียว ก็ให้โทษขนาดไหน มิใยต้องเอ่ยถึง นโยบายต่อต้านอุทกภัย ที่ทำเขื่อนใหญ่และสูงจนทำลายระบบธรรมชาติดั้งเดิมจนหมดสิ้น เพียงแม่น้ำสะแกกรังแห่งเดียว วิถีชีวิตชาวแพของคนที่อุทัยธานี ก็ถึงความหายนะด้วยนโยบายนี้แท้ทีเดียว โดยมิใยต้องเอ่ยถึงเรื่องรถคันแรก ที่ทำให้จราจรติดขัดยิ่งๆขึ้นขนาดไหน ในขณะที่พ่อค้ารถรวยกันไปตาม ๆ
.
เชื่อว่าหนังสือสองเล่มนี้ คงไม่มีสื่อมวลชนแห่งใดนำมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างจริงจัง หรือถือว่านี่เป็นเอกสารโฆษณาชวนเชื่อก็เลยปล่อยกันไป นับว่าตัวใครตัวมัน เป็นการช่างหัวมัน อันเป็นโทษกับบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
.
แม้ คสช.จะเลวร้ายเพียงใด ก็ไม่เทียบเท่ายิ่งลักษณ์ และพี่ชายของเธอซึ่งเป็นตัวอัปรีย์ โดยที่ คสช. ยังไม่ถึงกับตัวจัญไร
.
ส.ศ.ษ.