วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 23, 2558

วงการสงฆ์ไทยกำลังร้อน โล้นอิสระเปิดศึกไฝว้กับธัมมชโย ตีกระทบไปถึงพระผู้ใหญ่อย่าง "สมเด็จพระราชมังคลาจารย์" เปิดศึกหลายด้าน ระวัง"ตายหมู่"


ปฎิรูป“คณะสงฆ์”กำจัด”ธรรมกาย”เปิดศึกหลายด้าน ระวัง"ตายหมู่"
โดย จอม เพชรประดับ
Thai Voice Media
SUN, 02/22/2015 - 18:02 JOM

เพราะเป็นรัฐบาลมาจาก การทำรัฐประหาร ด้วยหรือเปล่า จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คิด จะทำอะไรอย่างไม่พิจารณา ไม่รอบคอบ ก่อนตัดสินใจแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ทั้งที่รู้ว่าประเทศไทยเวลานี้มีรอยปริร้าวอยู่ทั่วทุกหัวระแหง จะหยิบยกเรื่องอะไรมาแก้ไข เปลี่ยนแปลง ก็จะต้องเกิดการโต้เถียง ขัดแย้ง ให้วุ่นวาย ปวดหัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานภาพของรัฐบาลเอง ที่มาจากการทำรัฐประหาร ซึ่งคนไทยจำนวนมาก รวมทั้งนานาชาติไม่ให้การยอมรับอยู่แล้ว

กล้าดีอย่างไง ถึงได้ ตั้ง คณะกรรมการปฎิรูปแนวทางการบริหารกิจการพุทธศาสนา ขึ้นมาเพื่อที่จะปฎิรูปวงการคณะสงฆ์ไทย ในยามที่บ้านเมืองแตกแยกแบบนี้ จะบอกว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปฎิรูปในทุกด้าน ก็ใช่ แต่เมื่อตัวเองได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม ไม่เป็นที่พอใจของประชาชนจำนวนไม่น้อย การคิดจะปฎิรูปประเทศในทุกด้าน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ที่จะเกิดการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยอมรับเองว่า ปล้นอำนาจเขามา ดังนั้น รัฐบาลที่มาจาการปล้นอำนาจ ถ้าจะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติโดยเร็ว ก็ควรจะหยิบยกเฉพาะปัญหาสำคัญ ๆ ขึ้นมาแก้ไข เพื่อปูพื้น ปูทางไปสู่การสร้างความสงบที่ยั่งยืนให้กับบ้านเมืองในอนาคตจะดีกว่า

หากบอกว่า ปัญหาในวงการคณะสงฆ์เวลานี้ เป็นปัญหาวิกฤติสร้างความเดือดร้อนแก่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป จำเป็นจะต้องมี คณะกรรมการขึ้นมาปฎิรูปเหมือนกับการปฎิรูปด้านต่าง ๆ อันนี้ต้องบอกว่า เป็นการมองปัญหาด้วยความรู้สึก ด้วยอคติของตัวเองเสียมากกว่า เพราะสังคม หรือประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเช่นนั้น และจะทำให้ ประชาชน เกิดความเคลือบแคลงสงสัยรัฐบาลคสช.เสียเองว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาด้วยความบริสุทธ์ใจ

แม้ชาวพุทธอาจจะเห็นว่า การปกครองคณะสงฆ์มีปัญหาอยู่มาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ทำให้เขาเดือดร้อน ทำมาหากินไม่ได้ ไม่เหมือนกับปัญหาวิกฤติการเมืองที่กระทบต่อการทำมาหากิน การประกอบอาชีพของประชาชนอยู่ในเวลานี้ และหากคิดจะแก้ปัญหาในวงการสงฆ์ในพุทธศาสนา กันจริง ก็ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ จากหลายฝ่าย หลายกลุ่ม ทั้งฝ่ายคณะสงฆ์ ฝ่ายฆราวาส ฝ่ายกฎหมายบ้านเมือง ก่อนที่จะออกมาเป็นแนวทางเพื่อการปฎิรูปกิจการของคณะสงฆ์และพุทธศาสนา ที่สำคัญต้องมาจากคณะบุคคล หลายกลุ่ม หลายฝ่าย ที่เกี่ยวข้องและรอบรู้เกี่ยวกับการบริหารกจิการคณะสงฆ์อย่างแท้จริงด้วย

การจะคิดเพียงว่า เมื่อเป็นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร มีอำนาจสั่งการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เสียของ อะไรขวางหู ขวางตาตัวเอง ที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ ก็ต้องเร่งสะสาง กำจัด จัดการเสียให้หมด อันนี้บอกได้เลยว่าเป็นการบริหารประเทศแบบไม่ใช้หัวสมองคิดอะไรเลย และยังเป็นการทำลายตัวเองให้อายุสั้นเร็วขึ้นด้วย

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า สังคมโดยทั่วไปก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า คณะกรรมการที่ตั้งกันขึ้นมา เพื่อปฎิรูปกิจการพุทธศาสนานั้น ล้วนแล้วเป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ ไม่เป็นที่เชื่อถือทั้งของคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เพราะเป็นนักเคลื่อนไหวที่ได้ต่อสู้ทางการเมืองกันมาแล้วอย่างโชกโชน การแสดงออกและการกระทำบนเวทีการเมืองที่ผ่านมา ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของบุคคลเหล่านี้ไปอย่างมาก

อีกทั้งบุคคลเหล่านี้ก็ไม่ได้แสดงให้สังคมได้เห็นถึงความรู้ความสามารถ หรือมีความเชี่ยวชาญด้านการปกครองคณะสงฆ์ไทยหรือ ด้านพุทธศาสนาแต่อย่างใด คำถามใหญ่ก็คือว่า แล้วแต่งตั้งบุคคลเหล่านี้ขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร

ความใกล้ชิดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายทหารระดับสูงยกย่องชูบา ต่อ”พุทธอิสระ” พระที่พุทธศาสนิกชนกว่าค่อนประเทศกล่าวหาว่าเป็น อลัชชี เป็น เห็บศาสนา ก็เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยอย่างมากเหมือนกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้มีอำนาจใน คสช. จะยินยอมพร้อมที่จะว่าตาม พระที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น อลัชชี นี้ ให้เข้ามามีบทบาทในการปฎิรูปคณะสงฆ์ หรือปฎิรูปมหาเถรสมาคมอย่างนั้นหรือ

และ อดีต แกนนำ กปปส.ที่หนีไปอาศัยผ้าเหลืองบวชเป็นพระ ที่วัดสวนโมกข์ เพื่อหลบหนีปัญหา หนีความรับผิดชอบ ไม่ต้องการรับรู้กับความเสียหายที่ได้สร้างกันไว้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ สมาชิก สปช. จะไว้วางใจกับกลุ่มพระเหล่านี้ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น เห็บศาสนา ด้วยเหมือนกันอย่างนั้นหรือ

การหยิบยกประเด็น วัดพระธรรมกาย ขึ้นมาในขณะเมืองไทยฟ้ายังไม่เปิด มีทั้งมรสุม พายุลมฝนกระหน่ำอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นความหลักแหลมที่จะสร้างความสงบให้บ้านเมืองได้หรือ
จะด้วยอคติ ความไม่เข้าใจ หรือการเหลิงหลงในอำนาจ อะไรก็ตาม แต่ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา บอกได้คำเดียว่า”ตายหมู่”