วันพุธ, กุมภาพันธ์ 04, 2558

เหนือกว่ามนุษย์ลุง มนุษย์ป้า คือ มนุษย์ไทย


เหนือกว่ามนุษย์ลุง มนุษย์ป้า คือ มนุษย์ไทย (ตอนแรก)

โดย อาทิตย์ ทรงกรด

เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักคำว่า “มนุษย์ลุง” และ “มนุษย์ป้า” กันมาบ้างแล้วนะครับ แม้จะยังไม่ปรากฏคำจำกัดความว่า คนประเภทใดหรือพฤติกรรมแบบใดบ้างจัดอยู่ในความหมายของมนุษย์ 2 จำพวกดังกล่าว แต่หลายคนก็คงรู้สึกต่อพวกเขาเหล่านั้นแบบเอือมๆ

กระนั้นก็ดี เชื่อไหมฮะว่ามีอีกสิ่งที่น่าเอือมระอาเสียยิ่งกว่ามนุษย์ป้ากับมนุษย์ลุง มันคือ ภัยเงียบที่ค่อยๆ ทำลายสุขภาวะทางสติและเหตุผลของสังคมไทยจนอาจนำไปสู่ปัญหาความมั่นคงของมนุษย์ได้ในระยะอันใกล้นี้ ภัยนั่นคือ “มนุษย์ไทย”

มนุษย์ไทย คือ คนอีกจำพวกหนึ่งที่แอดวานซ์กว่ามนุษย์ลุงกับมนุษย์ป้า และบางที 2 จำพวกหลังก็เป็นเพียง subset ย่อยอยู่ข้างในมนุษย์ไทยอีกที

อริยบุคคลที่ผมพอจะจัดวางไว้ในหมวดหมู่จำพวก “มนุษย์ไทย” ได้นั้น เห็นจะมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน 
5 ประการเป็นอย่างน้อย ดังนี้

1. วิธีคิดต่อความแตกต่างหลากหลาย

โดยพื้นฐานวิธีคิดของบรรดา “มนุษย์ไทย” ต่อสรรพสิ่งรอบตัว จะไม่เหมือนมนุษย์ปกติ “มนุษย์ไทย” ไม่เพียงมองว่า อะไรเหมือน อะไรต่างจากตนเท่านั้น แต่จะให้ความสำคัญกับการตัดสินว่า “อะไรบ้างเป็นพวกพ้อง อะไรบ้างเป็นศัตรู”

เกณฑ์ดังกล่าวมักจะพิจารณากันจากเรื่องที่ว่า สิ่งรอบๆ ตัวพวกเขาที่แตกต่างไปนั้น มีท่าทีสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ไทยกรุงเทพฯ ของพวกเขาอย่างไรบ้าง

ถ้าสิ่งใดทำตัวกลมกลืนหรืออ่อนน้อม “สยบยอม” ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน

แต่ถ้าสิ่งใดทำตัวกังขา ตั้งคำถาม วิพากษ์ หรือไม่ปฏิบัติตามร่องตามรอยแนวเดียวกับอัตลักษณ์ไทยกรุงเทพฯ ของพวกเขา ก็นับเป็นศัตรู

เมื่อเป็นพวกพ้อง ก็รักษาปกป้องแม้จะผิดถูกก็ช่างหัวมัน เพราะถือว่าเป็น “คนของเรา” ส่วนใครที่จัดเป็นศัตรู ก็มุ่งหมายประสงค์กำจัดขับไล่ให้มลายสูญ “ด้วยวิธีอะไรก็ได้” เป้าหมายย่อมอยู่เหนือกติกา

ดังนั้น ฝรั่งเที่ยวบาร์ที่พัทยา กับฝรั่งทำนาใช้ชีวิตอยู่ที่อีสาน จึงมีคุณค่าสูงต่ำไม่เท่ากัน

ดังนั้น “มนุษย์ไทย” จึงตัดสินปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมไทยกับสังคมภายนอกบนฐานของการดูว่า ใครเป็นพวก ใครมิใช่พวก มากกว่าจะพิจารณาจากเหตุผล ข้อเท็จจริง

พวกเขายอมรับในความแตกต่างหลากหลาย ตราบเท่าที่ความแตกต่างหลากหลายเหล่านั้น ทำตัวผสานกลมกลืนเข้าหา หรือสยบยอมให้กับอัตลักษณ์ของพวกเขา เท่านั้น เพราะลึกๆ แล้วบรรดา “มนุษย์ไทย” ล้วนเป็นโรคขยาดกลัวและหวาดระแวงสิ่งที่จะไม่ใช่ไทยอย่างสุดโต่งและไร้เหตุผล (Not Thai-phobia)

2. โรคขยาดกลัวและหวาดระแวงสิ่งที่จะไม่ใช่ไทย (Not Thai-phobia)

แง่หนึ่ง โรคนี้มีรากมาจากความไม่ชัดเจนและ “กลวงเปล่า” ของอัตลักษณ์ไทยกรุงเทพฯ เอง แก่นแกนของความเป็นไทยล้วนถูกประดิษฐ์สร้างขึ้นจากอัตลักษณ์และอารยธรรมอื่นทั้งสิ้น เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ก็ด้วยการใช้อำนาจรัฐยัดลงมาผ่านแบบเรียนของกระทรวงศึกษาฯ และการทำงานของกลไกเชิงวัฒนธรรมของรัฐก็เท่านั้น

ถ้าจะไล่ดูทีละเรื่อง ทั้งชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย ล้วนไม่มีอันใดเป็นไทยแท้ นำเข้าจากที่นู่นที่นี่มาตัดต่อเข้าด้วยกันทั้งสิ้น ซ้ำประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาติไทยเองก็เป็นนิยายเสียเกินครึ่ง

และถ้ามองกันตามจริงแล้ว จะเห็นว่า แท้จริงแล้ว ความเป็นไทยมีลักษณะพหูพจน์ที่หลากหลายและอยู่ร่วม มากกว่าจะเป็นเอกพจน์ที่มีเอกภาพหนึ่งเดียว พื้นถิ่นบริเวณต่างๆ มีการพัฒนาอัตลักษณ์วิถีเฉพาะของตนมาอย่างยาวนาน และมีปฏิสัมพันธ์รวมตัวกันอย่างหลวมๆ

ความเป็นไทยหนึ่งเดียวเพิ่งถูกสร้างขึ้นในยุคไม่นานมานี้เอง เพื่อมัดรวมผู้คนซึ่งแตกต่างหลากหลายเข้ามาอยู่ใต้อุดมการณ์เดียวกันในกรอบรัฐชาติ

ข้อเท็จจริงข้อนี้ปรากฏชัดขั้นเรื่อยๆ ในยุคปัจจุบัน แต่ครั้นจะยอมรับ ก็ย่อมทำให้คนจำพวก “มนุษย์ไทย” รู้สึกถูก “แขวนลอย” หาหลักยึดแห่งตัวตนของตนเองมิได้ ดังนั้น พวกเขาจึงหวาดระแวงต่อการปรากฏตัวขึ้นในสังคมไทยของสิ่งที่ไม่ใช่ไทยตามแบบเรียน และมุ่งกำจัดมันทิ้ง

เพื่อรับประกันว่า ความเป็นไทยในจินตนาการของเขาจะยังดำรงอยู่อย่างสถาพร และเป็นเกราะคุ้มกันทางจิตใจ/จิตวิญญาณให้พวกเขาไม่รู้สึกเปล่าเปลี่ยวในสังคมสมัยใหม่ซึ่งอุดมไปด้วยปัจเจกชน คนแปลกหน้า และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ในสังคมแบบนี้ ความชัดเจนของความเป็นไทยจะเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้พวกเขายังคงรู้สึกมีเพื่อนพ้อง ไม่อ้างว้างได้บ้าง ผ่านการสะกดจิตตนเองว่า บรรดาคนแปลกหน้าที่ผ่านทางเหล่านั้น ล้วนเป็นพี่น้องคนไทยเหมือนกัน และผลิตซ้ำด้วยพิธีกรรมรวมหมู่เป็นครั้งคราว เช่น การแข่งขันฟุตบอลทีมชาติ

3. การกำจัดสิ่งแปลกปลอม

ประการต่อมา คือ “มนุษย์ไทย” มีวิธีจัดการกับสิ่งที่ไม่ใช่ไทยอยู่แบบเดียว นั่นคือ “การกำจัด” เพราะพวกเขาตั้งหลักจากการมองว่า ความเป็นไทย คือ สิ่งที่ดีสุดยอดที่สุดในโลกแล้ว และขึ้นชื่อว่าอยู่ในสังคมไทยแห่งนี้ หากมีสิ่งอื่นสิ่งใดยังไม่เป็นไทยเกิดขึ้นได้ หรือยังมีสิ่งที่ไม่พอใจในความเป็นไทยอันดีสุดยอดนี้อีก 
ก็นับว่าประหลาดแท้ เป็น “สิ่งแปลกปลอม” ที่เกินเยียวยาแล้ว ดังนั้น การกำจัด จึงเป็นวิธีการเดียวที่คิดได้ กับสิ่งไม่ใช่ไทยเหล่านั้น

ปัญหาคือ บังเอิญที่ปฏิบัติการของพวกเขามันเสือกดำเนินไปในบริบทที่สิ่งไม่ใช่ไทย คือ สิ่งส่วนใหญ่ของโลก ส่วนสิ่งที่เป็นไทย นับไปนับมาแล้ว เหลืออยู่นิดเดียว แค่ความหนาของแบบเรียนกระทรวงศึกษาฯ ที่พวกเขาอ่านกัน เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ในความพยายามปกป้องความเป็นไทยอันไร้รากดังกล่าว พวกเขาจึงมีความเบี่ยงเบนทางจิตวิทยาที่ต้องการการยอมรับจากสิ่งที่ไม่ใช่ไทยเข้ามาผสมไว้ในความปรารถนาลึกๆ อยู่ด้วย

นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ เพราะถ้าว่ากันตามตรง ลักษณะดังกล่าวจัดเป็นอาการป่วยทางจิต ที่จะดีกว่า หากได้รับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ (ในวงเล็บว่า ในโลกตะวันตก อาการป่วยทางจิตไม่ใช่เรื่องน่าอาย และคนปกติจำนวนมากก็เข้าขอรับการปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว)

เนื่องด้วยปัญหาที่เกิดในระดับจิตดังกล่าว ปฏิบัติการปกป้องความเป็นไทยของ “มนุษย์ไทย” จึงดูเหมือนเป็นเรื่องตลกน้ำตาเล็ด (Big Joke) อยู่หลายครั้งในสายตาต่างชาติ

ในทางการเมือง “มนุษย์ไทย” คือ กลุ่มคนจำพวกที่เรียกร้องขับไล่ทักษิณ ชินวัตรให้ไร้แผ่นดินอยู่ แต่พอทักษิณทะลึ่งออกจากแผ่นดินไทยไปจริงๆ “มนุษย์ไทย” กลับประสงค์เรียกร้องให้ทักษิณกลับมารับการดำเนินคดี เช่นเดียวกับการไล่กลุ่มคนอย่างตั้ง อาชีวะออกนอกประเทศ พอเขาออกประเทศจริงๆ ดันอยากให้เขากลับมารับการดำเนินคดี อย่างนี้เป็นต้น

มันย้อนแย้งพิลึกๆ แต่ก็พอเข้าใจได้บ้างอยู่ในทีใช่ไหมครับ นี้จึงอาจนับได้ว่า “มนุษย์ไทย” นั้น ก็มีแง่มุมของความเป็น “ฮิปสเตอร์” อยู่ในตัวเหมือนกัน มากบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับความฮิปส์รายบุคคล

อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านผู้อ่านเริ่มรู้สึกว่าตนเป็น “มนุษย์ไทย” ขึ้นมาบ้างแล้วหรือยังครับ ถ้ายัง ก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ถ้ารู้สึกขึ้นมาหน่อยๆ บ้างแล้ว ก็ขอแนะนำให้ไปรับยาที่ช่อง 2 แล้วกลับมาอ่านต่อ ตอนจบ ในโอกาสต่อไปนะครับ อย่าเพิ่งพลั้งมือทุบคอมพิวเตอร์พังเสียก่อนนะครับ อิอิ
ooo

เหนือกว่ามนุษย์ลุง มนุษย์ป้า คือ มนุษย์ไทย (ตอนจบ)


โดย อาทิตย์ ทรงกรด

คะ ความเดิม ตะ ตอนที่แล้ว ผมนำเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบถึงคุณสมบัติพื้นฐานที่บ่งบอกความเป็น “มนุษย์ไทย” ไปแล้ว 3 ประการ ยังเหลืออีก 2 ประการ จะพายลดังต่อไปนี้ครับ

4. เกรียนออนไลน์

สืบเนื่องจากประเด็น ตั้ง อาชีวะ ที่น่าสนใจถัดมา คือ “มนุษย์ไทย” นั้น ขึ้นชื่อลือชาเป็นที่รู้จักกันดีมาก ในแวดวงสังคมออนไลน์ เราจะเห็นปรากฏการณ์ “มนุษย์ไทย” ตามถล่มบุคคลและองค์กรต่างๆ อยู่ในหลายๆ วาระด้วยกัน

ไล่มาตั้งแต่การถล่มเพจ UNHCR ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลี้ภัยทางการเมืองของตั้ง อาชีวะ เพราะทะลึ่งดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

การถล่ม CEO อินสตาแกรม ในกรณีน้องวันใหม่ เพราะสะเออะปฏิบัติตามกฎ กติกา การใช้งานอินสตาแกรม อย่างไม่ยืดหยุ่น

การถล่มเฟซบุ๊คนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่ด่าแท็กซี่สุวรรณภูมิ เพราะกำเริบเอามาตรฐานแท็กซี่สากลมาคาดหวังกับแท็กซี่ไทย

กรณีนี้น่าสนใจนะครับ เพราะคนไทยทั่วไป รวมทั้ง “มนุษย์ไทย” เอง ก็มีแนวโน้มไม่ค่อยพอใจมาตรฐานของแท็กซี่บ้านเราอยู่แล้ว และก็เห็นโพสต์ด่า/ ประจาน/ ร้องเรียนอยู่หลายครั้ง แต่พอชาวต่างชาติด่าบ้าง กลับปกป้องแท็กซี่เสียนี่

เพราะอย่างที่เรียนไปแล้วน่ะครับ ในวิธีคิดของมนุษย์ไทย จะผิดจะถูกยังไง “แท็กซี่ก็เป็นคนของเรา”

ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง เท่านั้น ปฏิบัติการของ “มนุษย์ไทย” ในสังคมออนไลน์ยังขึ้นชื่อลือชายิ่งในกรณี “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา นักฟุตบอลซุปตาร์เบอร์ 1 ของไทย ที่ไปค้าแข้งกับสโมสรอัลเมรีย ในลาลีกา สเปน

กรณีนี้ เราจะเห็นแฟนบอลไทยที่เป็น “มนุษย์ไทย” ไล่ติดตามเพจสโมสรอย่างเกาะติด

วันใดที่มุ้ยไม่ได้ถูกส่งลงสนาม ก็เป็นเรื่องฮะ คอมเม้นต์ด่ากระจาย (ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ได้ลง :P )

ในวันที่ยกเลิกสัญญาค้าแข้ง เพจอัลเมเรียนี่แทบไม่เหลือชิ้นดีเลยฮะ โดน “มนุษย์ไทย” เข้าไปถล่มยับ

ส่วนที่ผมบอกว่า ปฏิบัติการในแนวนี้ มันเป็นตลกน้ำตาเล็ดในสายตาต่างชาติอยู่หลายครั้งนั้น ก็เพราะกรณีทั้งหมดที่เล่ามา จำนวนมากไปไล่ถล่มด่าคนต่างชาติ “ด้วยภาษาไทย” อะดิครับ แม่งคัลท์เชี่ยๆ

5. โรแมนติไซส์ (Romanticized) ชนบท

คุณสมบัติสุดท้ายที่ผมจะหยิบยกมาเป็นเกณฑ์พื้นฐานชี้วัดความเป็น “มนุษย์ไทย” ก็คือ กลุ่มคนจำพวกนี้จะมีรสนิยมร่วมอยู่อย่าง คือ การวาดภาพชนบทให้มีความหอมหวานชวนฝัน (Romanticized ชนบท)

“มนุษย์ไทย” จำนวนไม่น้อย เป็นกลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่ใน “ประเทศกรุงเทพฯ” โดยมีพื้นเพรากเหง้าอยู่ในต่างจังหวัด พวกเขาผ่านการศึกษาอย่างดี และก้าวเข้ามาแสวงโอกาสอาชีพที่ดีในประเทศกรุงเทพฯ

แต่ในป่าคอนกรีตเหล่านี้ การแข่งขันมีอยู่สูง และตัวตนของพวกเขาค่อยๆ พร่าเลือนลงเรื่อยๆ 
ภาพเกี่ยวกับชนบทที่เขาจากมา ณ แห่งที่ยัง slow life “ต่อนยอน ต๊ะ ต่อนยอน” เป็นเงื่อนไขหนึ่งซึ่งหล่อเลี้ยงฝันหวานๆ ให้กับพวกเขายังยิ้มได้เมื่อนึกถึง และไม่ประสงค์ให้ภาพนั้นเปลี่ยนแปลงไป

ชนบทในฝันของ “มนุษย์ไทย” ยังคงต้องเป็นอยู่อย่างเดิม ล้าหลังเหมือนเดิม มีไว้เพื่อเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟชิคๆ ให้พวกเขาไปเซลฟี่ พร้อมปรารภเบาๆ ว่า “ฉันอยากเป็นชาวนา” “บ้านนอกสบายกว่า” “ทำไร่ชาไร่กาแฟช่างสุขใจจริง” ฯลฯ

แต่นั่นก็เป็นเพียงคำกล่าวลอยๆ เหมือนกับที่เราอุทานว่า “ชิบหาย!” นั่นแหละครับ

“มนุษย์ไทย” ไม่ได้หมายความเช่นที่เขาปรารภจริงๆ เพราะอย่างที่บอกว่า พวกเขาจำนวนไม่น้อยมีพื้นเพภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด ถ้าบ้านนอกมันสบายกว่าอย่างเขาว่าจริง ทำไมไม่กลับไปทำนาเลี้ยงควายอยู่บ้าน?

นั่นก็เพราะ “มนุษย์ไทย” คงจินตนาการภาพตนเองลงไปฝัดข้าวแล้วผื่นขึ้นไม่ไหว
หรือนึกภาพตนเองลุกไปกรีดยางเวลาตีสาม ร้อนชื้น และยุงกัดไม่ออก

พวกเขานึกถึงเพียงภาพชนบทที่ปรากฏในแบบละครช่องสามเท่านั้น และยินดียิ่งที่จะคิดแค่เท่านั้น เพราะถ้ามากกว่านั้น มันจะทำลายฝันหวานลงไปเสียหมดจนอรรถรสไม่เหลือหลอ

“มนุษย์ไทย” ประสงค์จะให้ชนบทไม่เปลี่ยนแปลง ในแง่ที่รองรับฝันหวานดังกล่าว และรับใช้อาการอย่างเสพย์สมกับธรรมชาติชั่วครั้งชั่วคราวช่วงหยุดยาวของพวกเขา

กับในแง่ที่ชีวิตในเมืองของพวกเขามีการแข่งขันกันสูงมาก จำต้องผ่านอาการล้มเหลว และพ่ายแพ้หลายครั้ง แต่ความล้าหลังของชนบทที่ยังคงอยู่จะเป็นตัวยืนยันกับ “มนุษย์ไทย” ที่มีพื้นเพจากแหล่งเหล่านั้นว่า “อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ถีบตัวเองออกจากที่นั่นสำเร็จ และโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีกว่าได้”

ความสำคัญในการดำรงอยู่ของชนบทไทย เป็นความสำคัญในเชิงสภาพจิตวิทยา มันรับประกันตัวตนที่หล่อหลอมขึ้นของบรรดา “มนุษย์ไทย” และเป็นเรื่องแน่ๆ หากชนบทจะเปลี่ยนไป

พวกเขาจึงมักมีท่าทีไม่พอใจเท่าไหร่ หากคนชนบทจะโงหัวขึ้นมาซื้อรถยนต์ส่วนตัวได้ด้วยนโยบายของรัฐ หรือซื้อโทรศัพท์มือถือไว้ใช้ มีแท็บเลตแจก และทะเยอทะยานอยากจะร่ำรวยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามแบบอย่างคนในเมือง

เพราะมันขัดกับภาพชนบทที่ควรจะเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย พอเพียง และ “อ่อนน้อมสยบยอม” ตามมโนทัศน์ของพวกเขา

---
สรรพปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ของสังคมเรา ล้วนดำรงอยู่และขยายยืดให้บานปลาย ซ้ำยังยากจะแก้ไข ส่วนหนึ่งก็มิได้มาจากตัวโครงสร้าง/ระบบมันห่วยแตกเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเป็นผลของคนที่ไปเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เป็นคนจำพวก “มนุษย์ไทย” เฮงซวยเหล่านี้ด้วย

ตัวอย่างเช่นเรื่องของการเลือกตั้ง ต่อให้ออกแบบกติกา โครงสร้าง กระบวนการเสียศิวิไลซ์เลิศหรูเยอรมงเยอรมันปานใด แต่ตราบที่โรค “มนุษย์ไทย” ยังไม่ได้รับการบำบัด มันก็มีแนวโน้มล่มปากอ่าว จนเดี๋ยว “ไอ้แป๊ะ”ก็ต้องไสหัวตัวเองเข้ามายึดเรืออีกเหมือนเดิม วนเวียนมิรู้จบ

“มนุษย์ไทย” จึงเป็นภัยเงียบที่ร้ายกาจมาก ซึ่งบ่อนเซาะทำลายสังคมไทยอยู่ในทุกวันนี้ และขอเน้นย้ำว่า ผมไม่ได้ประสงค์จะชี้ชวนให้ท่านผู้อ่านคิดไปว่า บุคคลเหล่านี้เป็นปัญหาสังคมที่ต้องกำจัดทิ้งหรอกนะฮะ

พวกเขาแค่ “ป่วย” และต้องการการบำบัดอย่างเร่งด่วนเท่านั้นเอง

----

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เหนือกว่ามนุษย์ลุง มนุษย์ป้า คือ มนุษย์ไทย (ตอนแรก)