วันพฤหัสบดี, มกราคม 29, 2558

บทสัมภาษณ์คนห้องกรง : ปีใหม่นี้อยากได้อะไร?



ปีใหม่นี้อยากได้อะไร? คงเป็นคำถามที่ใครหลายคนถูกถามหรือตั้งคำถามกับตัวเอง และสิ่งที่นิยมกันมากในช่วงเทศกาลเริ่มต้นปีคือ การขอพร อธิษฐาน หรือสาบานบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

แต่หากถามคำถามเดียวกันนี้กับคนที่อยู่ในโลกหลังกรงเหล็ก ว่าถ้าขออะไรได้ อยากจะได้อะไร?

คำตอบจากชายคนหนึ่งซึ่งถูกจองจำระหว่างรอขึ้นศาล เพราะถูกกล่าวหาในคดีทางการเมืองตอบคำถามนี้อย่างเศร้าๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ ว่า "ขอแค่ความหวังและกำลังใจ" คำตอบนี้ช่างดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด

เบื้องหลังของคำขอดังกล่าวเริ่มจาก ก่อนการรัฐประหาร การเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากนัก ห้องเยี่ยมเปิดกว้างให้มิตรสหายของผู้ต้องขังทั้งที่สนิทและไม่สนิทได้พูดจาสนทนากัน วันละ 15 นาที และสิ่งที่มาพร้อมกับผู้มาเยือน ก็คือรอยยิ้มและความหวัง เพื่อเป็นกำลังใจในการต่อสู้คดี หรือ รอวันที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา

แต่ทว่าเมื่อเกิดการรัฐประหาร สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป

มีการนำ “กฎ 10 คน” มาบังคับใช้อย่างเคร่งครัด ที่กำหนดให้ผู้ต้องขังทุกคนมีญาติเยี่ยมได้เพียง 10 คน โดยผู้ที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำต้องส่งรายชื่อญาติทั้ง 10 คน ให้แก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และคนที่ไม่มีชื่อ จะไม่มีโอกาสได้พูดคุย ส่งรอยยิ้ม หรือ ให้กำลังใจผู้ต้องขังได้ จนกว่ารายชื่อ 10 คนนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปและค่อนข้างจะใช้เวลานาน

สิ่งเหล่านี้ คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองที่เราได้พูดคุยด้วย สะท้อนออกมาว่า อยากได้ความหวังและกำลังใจเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะดูเหมือนสองสิ่งนั้นจะเหือดแห้งไป พร้อมๆกับการบังคับใช้ "กฎ 10 คน"

"กฎ 10 คน" ไม่เพียงแต้ทำให้ผู้ต้องขังต้องขัดสนกำลังใจหรือความหวังเท่านั้น หากยังทำให้ความเป็นอยู่เลวร้ายลงกว่าเก่าด้วย เพราะราชทัณฑ์กำหนดว่า ผู้มีสิทธิฝากเงินให้ผู้ต้องขัง จะต้องอยู่ในรายชื่อญาติที่มีสิทธิเข้าเยี่ยมเท่านั้น ทำให้ผู้ต้องขังที่ญาติอยู่ไกลหรือไม่มีญาติ ไม่สามารถได้รับการช่วยเหลือใดๆจากบุคคลภายนอกได้

"กฎ 10 คน" และการจำกัดการฝากเงินให้ผู้ต้องขัง ถือเป็นการซ้ำเติม ชีวิตของผู้ต้องขังที่เลวร้ายอยู่แล้วให้ย่ำแย่ไปกว่าเก่า

เมื่อถามผู้ต้องขังทางการเมืองท่านนั้นว่า "อยากให้คนข้างนอกช่วยอะไรไหม?" เขาก็ตอบว่า "เข้าใจดีในสภาวะการณ์แบบนี้ มันทำอะไรไม่ได้มาก แต่อยากจะขอให้ช่วยเหลือคนที่ยังอยู่ในห้องกรงกันซักหน่อย"

เนื่องจากผู้ต้องหาท่านนั้นสนิทกับคนนักโทษการเมืองคนอื่นๆ เขาจึงฝากไปถึงคนที่เคยให้ความช่วยเหลือว่า อยากให้มาเยี่ยมและให้กำลังใจกันบ่อยๆ และอยากจะรบกวนเรื่องเงินช่วยเหลือซักเล็กน้อย เพื่อให้นักโทษหรือผู้ต้องขัง ซึ่งใช้ชีวิตในพื้นที่ ที่เสรีภาพมีจำกัดและถูกกดดันทั้งร่างกายและจิตใจ ยังมีความหวังหลงเหลืออยู่บ้าง แม้มันจะน้อยนิดก็ตาม

แม้ข้อจำกัดจาก "กฎ 10 คน" จะเป็นปัญหามาก แต่ผู้ต้องหาท่านนั้น ก็ฝากมาบอกกับทุกคนๆ ที่อยากจะให้กำลังใจว่า สามารถใช้อีเมลเป็นช่องทางในการสื่อสารได้ เพียงแต่เขียนและส่งอีเมลมาที่ bk_remand@hotmail.com โดยให้ใส่ชื่อ-นามสกุล รวมถึงแดนของผู้ต้องขังให้ถูกต้อง ข้อความเหล่านั้นก็จะถึงมือผู้ต้องขังที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย

ปัญหาของวิธีการนี้คือความเป็นส่วนตัว เพราะข้อความเหล่านั้นจะไม่ได้อ่านกันแค่ผู้ส่งและผู้รับเท่านั้น เนื่องจากอีเมลดังกล่าวเป็นของทางเรือนจำ เจ้าหน้าที่จึงเป็นผู้เปิดอีเมลนั้น ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ผู้ต้องขังในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาท่านั้นก็ยังยืนยันว่า แม้จะไม่มีความเป็นส่วนตัว แต่การได้อ่านอีเมลจากโลกภายนอก ก็เป็นการเติมพลังใจที่ดี จึงขอให้ส่งอีเมลเข้ามาเยอะๆ เพื่อจุดประกายความหวัง ให้ผู้ต้องหาลุกขึ้นสู้ต่อไป



คนห้องกรง