วันจันทร์, ธันวาคม 08, 2557

สื่อนอกรายงานข่าว ‘เสี่ยนพพร’ นักธุรกิจหมื่นล้าน แจงจากต่างประเทศ โต้ไม่รู้จัก “อัครพงศ์ปรีชา” และ เชื่อว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาถูกจับเพราะมีคนเชื่อว่าเขาใกล้ชิด "ทักษิณ" ซึ่งไม่เป็นความจริง

Fugitive Thai millionaire protests his innocence

https://www.youtube.com/watch?v=j6I3HFuV9tc
....

Fugitive Thai millionaire protests his innocence

By Jerome Taylor
AFP

A fugitive Thai millionaire wanted on charges including royal defamation broke cover to protest his innocence Sunday in a graft probe that has seen relatives of the crown prince's wife arrested.

Nopporn Suppipat denied police accusations that he helped orchestrate the kidnapping of a man who owed him money, and said he fled to Cambodia on November 30 after discovering he would be charged under Thailand's draconian lese majeste law.

"I knew '112' would mean I wouldn't get bail... I couldn't take that risk," the 43-year-old told AFP in a phone interview from an undisclosed location early Sunday.

Under section 112 of Thailand's criminal code, anyone convicted of insulting the king, queen, heir or regent faces up to 15 years in prison on each count.

The comments from the energy tycoon -- ranked by Forbes magazine in 2013 as Thailand's 31st richest man -- are the latest twist in a corruption scandal that has rocked the kingdom's elite and led to the arrest of three relatives of Princess Srirasmi, the wife of Crown Prince Maha Vajiralongkorn.

The police corruption case exploded at the end of November when three senior officers -- including the head of the elite Central Investigation Bureau -- were arrested on a string of bribery charges in the junta-ruled kingdom.

More than 20 people have been arrested so far in the probe as the junta-backed police chief promotes an anti-corruption crusade.

- Palace intrigue -

But the investigation has also seen the palace fall under a rare spotlight at a time of deep uncertainty.

On Friday, the ailing King Bhumibol Adulyadej cancelled plans to hold a public audience marking his 87th birthday, adding to anxiety about the kingdom's future after the army seized power from a civilian government in May.

Vajiralongkorn, the king's son and heir, meanwhile has demanded the ruling regime ban anyone from using the surname 'Akkharapongpricha'.

Three people with the surname -- an honorific given to relatives of Princess Srirasmi following her marriage to the crown prince -- were arrested nearly two weeks ago on graft charges.

Police accuse Nopporn of hiring the Akkharapongprichas to kidnap his former business partner to force him to reduce a loan he owed. But Nopporn said he had never met or hired Princess Srirasmi's relatives.

"On my mother's and father's and everyone I love's life, I had never met or heard of them until this happened," he said.

Instead he says he was engaged in a lengthy court dispute over money with the businessman, eventually enlisting the help of a senior army officer to help negotiate a final settlement. Nopporn said the officer hired the Akkharapongprichas without his knowledge.

The energy tycoon added that he believed he was being targeted because he was perceived as being close to former premier Thaksin Shinawatra, although he insisted he was not a supporter of the ousted leader, who lives abroad in self-exile.

May's coup deposed Thaksin's sister Yingluck as prime minister. It was the latest chapter in a long-running conflict that broadly pits a Bangkok-based middle class and royalist elite, backed by parts of the military and judiciary, against rural and working-class voters loyal to Thaksin.

"People said the police believed I was close to Thaksin, and with that I knew I had to run," Nopporn said.

He said he had no intention of returning to Thailand any time soon because he believed he would be unable to get a fair hearing in the junta-led nation.

Junta spokesman Werachon Sukondhapatipak said he could not comment on Nopporn's remarks as the case was still under investigation.
ooo

‘เสี่ยนพพร’ นักธุรกิจหมื่นล้าน แจงจากต่างประเทศ โต้ไม่รู้จัก “อัครพงศ์ปรีชา”


ที่มา ข่าวสดออนไลน์

วันที่ 7 ธ.ค. นายนพพร ศุภพิพัฒน์ เศรษฐีหมื่นล้านที่ถูกโยงว่ามีเอี่ยวคดีจ้างวานแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. และพวก อุ้มเหยื่อบังคับลดหนี้ ได้มีหนังสือชี้แจงมาจากต่างประเทศ ดังนี้

เรียน ท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชน
เรื่อง กระผม (นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ) ผู้ตกเป็นเหยื่อ

สืบเนื่องจากการมีข่าวของกระผม นพพร ศุภพิพัฒน์ เข้าไปเกี่ยวพันกับข่าวการเจรจาหนี้ ที่เป็นคดีสำคัญ และถูกกล่าวหาว่าใช้จ้างวานให้สามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชาไปอุ้มตัวนายบัณฑิตมาเพื่อบีบให้ลดหนี้จำนวน 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท จนต่อมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาต่างๆ รวมถึงความผิดตาม ม 112 ความตามที่ท่านทราบแล้วนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว กระผมคือผู้ตกเป็นเหยื่อผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสีและขูดรีด กระผมไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากท่านสื่อมวลชนเท่านั้นที่จะให้ความยุติธรรมกับผมได้ และสื่อสารความจริงสู่สังคมและสาธารณชน เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ผมใคร่ขอเรียนชี้แจงอย่างไม่กลัวอิทธิพลใดๆดังนี้

1.กระผมไม่ได้เป็นลูกหนี้นายบัณฑิต
ความเดิมคือกระผมกับนายบัณฑิตและเพื่อนอีก2คนร่วมกันลงในทุนใน บริษัทชื่อ กริฟฟอน อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง โดยกระผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% ในปี 2543 กระผมได้ยืมเงินจากบริษัทดังกล่าว โดยลงบัญชีเป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมบริษัทเป็นเงินประมาณ 17 ล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้น 3 คน รวมทั้งบัณฑิตไม่เห็นว่าเป็นการกู้ยืมจึงไปแจ้งความดำเนินคดีกระผมในข้อหายักยอกทรัพย์ กระผมจึงได้ชำระเงินคืนบริษัทฯในรูปของการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของบริษัทฯ (ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน) จำนวน 8.9 ล้านบาทแทนบริษัทในปี 2547 และในปี 2555 กระผมชำระคืนบริษัทฯอีก 17 ล้านบาท

โดยใด้ไปทำยอมความกันที่ศาลฎีกาในเดือนเมษายน 2555 โดยในหนังสือถอนคำร้องทุกข์ระบุชัดเจนว่าผมชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทฯจนครบถ้วนแล้ว และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ต่างก็ไม่ติดใจเอาความอีกต่อไป(หลักฐานปรากฏตามสัญญาประณีประฌอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ พร้อมเอกสารประกอบ เดือนเมษายน 2555 ซึ่งมีสำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคนคือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) จึงคงเหลือแต่บัณฑิตซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่ยอมถอนฟ้องกระผมในคดีนี้ ทั้งที่ได้ส่วนแบ่งจากเงิน 17 ล้านดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นผมจึงมิได้เป็นหนี้ใดๆ กับนายบัณฑิตทั้งทางตรงและทางอ้อมตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2555

2. ในปี 2557 กระผมมีฐานะดีขึ้นและไม่อยากมีคดีติดตัวต่อไป กระผมจึงจึงเปิดการเจรจาโดยส่งข้อความเสนอเงิน 20 ล้านไปให้บัณฑิตเพื่อให้ถอนฟ้องในคดีที่กระผมติดหนี้บริษัทซึ่งผมได้ชดใช้ไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้ตอบกลับจากนายบัณทิต จนกระทั่งผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ยุโรปในวันที่ 24 พฤษภาคม ต่อมาขณะอยู่ต่างประเทศได้ทราบจากคนรู้จักว่านายบัณฑิตจะเปิดตัวเลขกลับมาที่ 100 ล้านบาท (ซึ่งคงเพราะทราบว่านิตยสารฟอร์บฉบับเดือนมิถุนายนได้ประเมินทรัพย์สินของกระผมที่ 26,000 ล้าน)

แต่กระผมคิดว่าน่าจะต่อรองได้ในราคา 50-60 ล้านบาท(ซึ่งเป็นการพบกันครึ่งทาง) ในวันที่ 18 มิถุนายนขณะกระผมอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสจึงให้นายพิษณุ พานิชสุข ส่งสัญญายอมความ 2 ฉบับมาให้ทางอีเมล์ ฉบับหนึ่งระบุตัวเลขเป็นเงิน 50 ล้าน ส่วนอีกฉบับระบุ 60 ล้าน (หลักฐานตามอีเมล์อีกฉบับที่ผมส่งมาพร้อมกันนี้) จากนั้นกระผมปรินท์สัญญาทั้งสองฉบับออกมาเพื่อลงชื่อ และส่งกลับไปให้ทนายในวันเดียวกันทาง DHL (หลักฐานซอง DHL ดังกล่าวเก็บอยู่ที่นายพิษณุ)

3. นายปริญญา รักวาทิน หรือ เสธ เจี๊ยบ
อย่างไรก็ดีเพื่อความมั่นใจว่าเรื่องราวจะได้ข้อยุติ กระผมโทรฯทางไกลมาปรึกษากับนายปริญญา หรือเสธ เจี๊ยบ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บ เรือด่วนเจ้าพระยาฯ (ทางทนายพิษณุเคยแนะนำให้รู้จัก) และชอบอ้างตัวสนิทสนมกับ เสธ คนดัง ว่าสามารถเชิญผู้ใหญ่ที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้ได้หรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอย่างไร และสามารถทำให้รูปแบบการเจรจาอยู่ในกรอบของกฎหมายตามที่ทนายให้แนวทางไว้ได้หรือไม่ ซึ่งนายปริญญาก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าสามารถทำได้เพราะตัวเลขที่เสนอถึง 60 ล้านก็เป็นจำนวนมากพอที่น่าจะทำให้นายบัณฑิตยอมตกลงอยู่แล้ว หากเพิ่มบุคคลที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นคนกลาง บัณฑิตย่อมไม่กล้าเรียกร้องแบบไร้เหตุผล

4.ผมไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อสามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชาก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่23มิถุนายน
ทางนายปริญญาหรือนายเจี๊ยบแจ้งว่าผู้ใหญเรียกค่าดำเนินการ 30 ล้าน ผมจึงตกลงและจ่ายล่วงหน้าเป็นเงิน 5 ล้าน ส่วนอีก 25 จะจ่ายเมื่อมีการตกลงยอมความกันที่ศาล โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือต้องให้คู่เจรจาคือนาบัณฑิตยอมความโดยสมัครใจหรือเกรงใจเท่านั้น หากไม่สำเร็จกระผมก็จะนำเงิน 25 ล้านนี้ไปเพิ่มยอดให้นายบัณฑิตรวมเป็น 85 ล้านแทน เพื่อให้คดียุติ ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า เสธ เจี๊ยบจะไปเชิญ เสธ คนดังซึ่งจะไกล่เกลี่ยแบบผู้ใหญ่มาเป็นคนกลาง แต่ปรากฎข้อเท็จจริงในวันที่ 23 มิถุนายนว่านายปริญญาไปว่าจ้างสามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชามากระทำการอุกอาจ และไปบังคับให้บัณฑิตรับเงินแค่ 20 ล้าน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ผิดจำนวนเงิน และเงื่อนไขที่ผมให้ไว้อย่างสิ้นเชิง

5. หลังเกิดเหตุดังกล่าวย่อมเป็นที่แน่นอนว่าบัณฑิตไม่พอใจอย่างมากนายบัณทิตจึงเพิ่มตัวเลขไปเป็น 150 ล้าน ผมเรียนตรงๆว่าขณะนั้นเข็ดและหดหู่กับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว จึงแจ้งว่ายินดีจะจบที่ 120 ล้าน โดยจ่ายทันที 80 ล้าน และตีเป็นเช็คล่วงหน้าอีก 40 ล้าน บัณฑิตตกลงโดยมาทำสัญญายอมความที่ศาลในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประณีประฌอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พร้อมหลักฐานการจ่ายเงิน สำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคนคือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) โดยขณะไปยอมความที่ศาลกระผมก็ยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสโดยเดินกลับกรุงเทพประมาณวันที่ 20 กรกฎาคม

6.ต่อมานายปริญญากลับมาขอเงิน 25 ล้านกับผมอีก ผมตอบไปว่านายปริญญาไปทำเสียหายจนผมต้องจ่ายเงินเกินกว่าที่ควรแล้วยังจะมาขอเงิน 25 ล้านอีกหรือ นายปริญญาเพียงตอบสั้นๆว่าอยากมีเรื่องกับ…(หมายถึงสามพี่น้องฯ) หรือ ผมกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยต้องให้เงิน 25 ล้านไป โดยนัดให้มารับเงินสดที่สำนักงานใหญ่บริษัท WEH ช่วงสิ้นเดือนกรกฎาที่ผ่านมา

7. ตำรวจ สน.วัดพระยาไกรปิดบังหลักฐานและจงใจให้ผมตกเป็นเหยื่อ
พนักงานสอบสวน สน วัดพระยาไกรที่รู้จักกับนายปริญญา ชื่อผู้กอง.... ได้ติดต่อผ่านทนายพิษณุให้กระผมเข้ามาให้ปากคำ ผมจึงได้เข้าไปให้ปากคำเมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยได้มีบันทึกข้อความการให้ปากคำไว้เป็นหลักฐาน แต่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากในตอนท้ายพนักงานสอบสวนชื่อสารวัตร.... ถามผมว่ารู้จัก ”เจี๊ยบ”หรือไม่ ผมเห็นว่าทั้งทนาย และพนักงานสอบสวนคือผู้กอง.... ที่ร่วมสอบสวนอยู่ด้วยเป็นเพื่อนกับนายปริญญา จึงรู้สึกไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ยืนยันว่าจะกลับมาให้การเพิ่ม จนวันรุ่งขึ้น(วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน) ผมโทรศัพท์หาสารวัตร.... เพื่อขอนัดเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม และนำหลักฐานต่างๆ ไปส่ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง และแจ้งกับกระผมว่ารู้แล้วว่าเจี๊ยบคือใครไม่ต้องมาหรอก

ผมเห็นเป็นพิรุธ ประกอบกับมีการประโคมข่าวเรื่องลดหนี้ (ทั้งๆที่ทางตำรวจก็มีเอกสารสำเนาการยอมความที่ศาลข้างต้นทั้งสองชุดเป็นหลักฐาน) ผมเกรงว่าคงไม่ได้ประกันตัวและถูกปิดปากในเรือนจำ จึงมีความจำเป็นต้องหลบหนีออกนอกประเทศมาตั้งหลัก เพื่อทำหนังสือฉบับนี้ เพื่อแถลงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนได้รับทราบในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจึงใคร่ขอเรียนแจ้งให้ทราบจากปากคำของผมเอง และขอขอบพระคุณท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชนหากจะกรุณาให้ความยุติธรรมนำเสนอข่าว และร่วมต่อสู้กับกระบวนการอยุติธรรมที่ทำให้บุคคลผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะ และเป็นเหยื่อคนแล้วคนเล่า

ขอแสดงความนับถือ
นายนพพร ศุภพิพัฒน์