วันอาทิตย์, สิงหาคม 10, 2557

ยังไม่มีพรรคมวลชนของกรรมาชีพ :ข้อคิดนักทฤษฎีสังคมนิยม




บทเรียนจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
 
คนไทยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ จนถึงทุกวันนี้ เรามีบทเรียนอะไรบ้าง? บทเรียนที่อยากจะพิจารณาในบทความนี้คือ

1. ความสำคัญของการสร้างพรรคมวลชน
2. การหลีกเลี่ยงความอ่อนแอที่นำไปสู่การพึ่งพาทหาร
3. ความสำคัญของการจัดตั้งมวลชนรากหญ้าด้วยแนวความคิดทางการเมืองที่ทวนกระแส
4. จุดอ่อนของการประนีประนอมกับอำนาจเก่า
5. การเข้าใจว่าพลังมวลชนดำรงอยู่ในส่วนไหนของสังคม

ความสำคัญของการสร้างพรรคมวลชน
ในการเตรียมตัวเพื่อทำการปฏิวัติ ๒๔๗๕ อ.ปรีดี พนมยงค์ ก่อตั้ง คณะราษฏร์ก็จริง แต่คณะราษฏร์เป็นองค์กรใต้ดินที่ประกอบไปด้วยปัญญาชนและข้าราชการ มันไม่ใช่ พรรคมวลชนที่มีสมาชิกเป็นแสนๆ ในแง่หนึ่งเราอาจยอมรับได้ว่าการวางแผนเพื่อโค่นกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องเป็นแผนลับขององค์กรใต้ดิน แต่ในอีกแง่หนึ่งการสร้างแนวร่วมเพื่อประชาธิปไตยในรูปแบบเปิดเผยก็ไม่ได้ทำ เช่นการไปรณรงค์เพื่อให้นักศึกษาและคนงานต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพประจำวัน

เพราะแม้จะมีระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็จริง แต่พื้นที่ในการแสดงออกไม่ได้ปิดอย่างเบ็ดเสร็จ และมีการเคลื่อนไหวของคนงานเพื่อเรียกร้องประเด็นปากท้อง หรือมีการแสดงความเห็นเรื่องสิทธิสตรีเป็นต้น แล้วที่สำคัญที่สุดคือ หลังปฏิวัติสำเร็จไม่มีการลงมือจัดตั้งพรรคมวลชนอย่างเป็นระบบ อ.ปรีดีจึงอ่อนแอเมื่อเทียบกับทหารที่ร่วมปฏิวัติ

อีกแง่ที่เราเห็นคือระบบการเลือกตั้งในยุคแรก ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่พลเมืองทุกคนมีหนึ่งเสียงเพื่อเลือกผู้แทนในสภา ซึ่งแสดงว่าอ.ปรีดีและคณะราษฏร์ไม่มองว่ามวลชนมีความสำคัญมากที่สุดในการสร้างประชาธิปไตย

ในการลุกฮือ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ฝ่ายประชาชนมีพรรคมวลชนคือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) แต่ พคท.ไม่ได้ทุ่มเทผู้ปฏิบัติการลงไปที่กรุงเทพฯในการต่อสู้ร่วมกับนักศึกษา ก่อนเหตุการณ์ที่ล้มเผด็จการทหารมีการถอนสมาชิกสำคัญออกไป เพราะพรรคมองว่าคงจะถูกปราบ

แต่พอนักศึกษา กรรมาชีพ และประชาชนชนะ พรรคก็ทุ่มเทมากพอสมควรในการพยายามจัดตั้งทั้งนักศึกษาและกรรมาชีพ  อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดมากขึ้น ก็ถอนคนออกจากเมืองไปอยู่ป่าตามแนวทางชนบทล้อมเมือง คนที่อยู่ในเมืองจึงขาดพลังที่จะสู้การปราบปราม

ล่าสุดเมื่อเกิดรัฐประหาร ๑๙ กันยา ที่ล้มรัฐบาลทักษิณ แนวคิดเรื่องการสร้างพรรคมวลชนเกือบจะหายสิ้นไป มีแต่พวกเราในเลี้ยวซ้ายที่มองว่าเรื่องนี้สำคัญ คนเสื้อแดงงอกออกมาจากพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคนายทุน และขยายไปสู่การจัดตั้งกันเองในมวลชนเสื้อแดง 

แต่ภายในมวลชนเสื้อแดงการจัดตั้งพรรคหรือองค์กรที่อิสระจากการนำของทักษิณหรือนักการเมืองไทยรักไทยก็อ่อนแอ ในหมู่คนที่มองว่าควรเคลื่อนไหวอิสระมีการหวงความอิสระของแต่ละกลุ่ม และต่อต้านแนวคิดเรื่องการตั้งพรรคเพื่อแข่งแนวกับไทยรักไทย-เพื่อไทยหรือ นปช. ดังนั้น นปช.กับเพื่อไทยสามารถผูกขาดการนำทางการเมืองได้โดยไม่ถูกท้าทายจากเสื้อแดงก้าวหน้า

ซึ่งตอนนี้นำไปสู่การรอดูว่าทักษิณกับยิ่งลักษณ์จะประนีประนอมกับฝ่ายเผด็จการอย่างไร และเมื่อมีการเลือกตั้งในอนาคตพื้นที่ประชาธิปไตยจะลดลง แล้วที่น่าเป็นห่วงคือคนเสื้อแดงส่วนใหญ่อาจยอมจำนนตามคำแนะนำของแกนนำ

การหลีกเลี่ยงความอ่อนแอที่นำไปสู่การพึ่งพาทหาร
เนื่องจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ พึ่งพาทหารมากเกินไปและไม่มีการสร้างพลังมวลชน กองทัพก็เข้ามามีบทบาททางการเมืองและบ่อยครั้งเป็นคู่แข่งนักการเมืองพลเรือน ในที่สุดจอมพล ป. ก็สร้างประเพณีอันเลวทรามของการปกครองโดยเผด็จการทหาร ซึ่งยังคงดำรงอยู่ทุกวันนี้ในรูปแบบการที่ประยุทธ์มองว่าตนเองมีสิทธิ์แทรกแซงการเมืองแบบหน้าไม่อาย และที่อันตรายที่สุดคือคนจำนวนมากมองว่าเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ถ้าไม่เชิญทหารมาทำรัฐประหาร

อีกแง่หนึ่งของปัญหาที่มาจากการเน้นกำลังทหาร คือแนวสู้ของ พคท. ในรูปแบบกองทัพปลดแอกตามแนวคิด ชนบทล้อมเมืองแนวนี้ล้มเหลวและพ่ายแพ้เพราะกำลังทหารของฝ่ายรัฐไทยเหนือกว่า และ พคท.พึ่งพาการช่วยเหลือทางทหารจากประเทศเพื่อนบ้านและจีน อีกประเด็นที่สำคัญคือการต่อสู้ที่เน้นกองกำลังเป็นการหันหลังให้กับมวลชนที่เคลื่อนไหวแบบเปิดเผยในเมืองได้ เมื่อมีพื้นที่เสรีภาพเกิดขึ้นเล็กๆ น้อยๆ แค่ศึกษาซิเรียกับอียิปต์หรือตูนีเซียก็จะเห็นภาพชัดขึ้น

นอกจากนี้คำถามสำคัญคือ ถ้า พคท. รบชนะรัฐไทย ใครจะปกครองประเทศ? มันคงจะเป็นเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนในลาว เวียดนาม จีน หรือเขมร มันจะไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งปวงทั่วโลกในยุคนั้นเป็นพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลิน-เหมาที่ปฏิเสธการนำตนเองของมวลชน นี่คือสาเหตุที่อดีตผู้ปฏิบัติการของ พคท.จำนวนมาก โดยเฉพาะแกนนำ เอ็นจีโอ หรือนักวิชาการชนชั้นกลาง หรือแม้แต่พวกทหารพคท.เก่า กลายเป็นฝ่ายทำลายประชาธิปไตยในยุคนี้ พูดง่ายๆ เขาไม่เคยปลื้มในประชาธิปไตยเท่าไร

     ทุกวันนี้เวลามีกลุ่มเสื้อแดงกลุ่มเล็กๆ พูดเรื่องการจับอาวุธ มันเป็นแค่ละครตลกร้าย เพราะทำจริงก็ทำไม่ได้ และถ้าทำก็คงแพ้ตั้งแต่แรก
    ประชาธิปไตยและสังคมนิยมเป็นสิ่งที่มาจากการต่อสู้ของมวลชนจำนวนมาก ไม่ได้มาจากกองทัพปลดแอก

ความสำคัญของการจัดตั้งมวลชนรากหญ้าด้วยแนวความคิดทางการเมืองที่ทวนกระแส
การที่ พคท. ในอดีตเป็นพรรคมวลชนที่แท้จริงและเป็นพรรคมวลชนแรกของไทย ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหา พรรคมีจุดอ่อนสำคัญคือขาดประชาธิปไตยภายใน และแนวคิดที่เสนอกับมวลชนเป็นแนว สตาลิน-เหมาปัญหาของแนวนี้คือไม่ตั้งเป้าเพื่อปฏิวัติล้มทุนนิยม แต่ตั้งเป้าเพื่อพัฒนาทุนนิยมต่างหาก พคท. มองว่าไทยล้าหลังและเป็นระบบศักดินา ดังนั้นมีการเสนอให้ทุกคนทำแนวร่วมกับนายทุนที่รักชาติ

มันเป็นการเชิดชูแนวชาตินิยมแทนแนวชนชั้น และในรูปธรรมมันหมายความว่าคนทำงานส่วนใหญ่จะต้องยอมรับสภาพของตนเองในการเป็นเบี้ยล่างแบบลูกจ้างในยุคปัจจุบัน มันยอมรับว่าเราต้องมีชนชั้นปกครองที่อยู่เหนือคนธรรมดา

มันไม่ท้าทายความคิดกระแสหลัก แค่ท้าทายเผด็จการทหาร ดังนั้นอดีตผู้ปฏิบัติการ พคท. ส่วนหนึ่งหันไปเป็นกองเชียร์สำคัญของนายทุนอย่างทักษิณ และต่อมาก็หันไปตั้งความหวังกับกองทัพหรืออำมาตย์ พูดง่ายๆ ไม่มีการคิดว่าคนชั้นล่างควรและสามารถปลดแอกตนเองจากล่างสู่บน

แนวคิดของ พคท. มีจุดอ่อนอีกแง่หนึ่งคือ ทำให้ ลูกหลาน พคท.ไม่เข้าใจธาตุแท้ของกลไกตลาดเสรีในระบบทุนนิยม ทุกวันนี้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่หลงคิดว่าฝ่ายสุเทพหรือเสื้อเหลืองไม่เห็นด้วยกับเสรีนิยมกลไกตลาด แต่แท้จริงแล้วพวกนั้นคือพวกคลั่งตลาดมากกว่าทักษิณเสียอีก เพราะเขาต่อต้านการแทรกแซงโดยรัฐเพื่อประโยชน์คนจน กรณีการคัดค้านโครงการจำนำข้าว การด่าแนว ประชานิยมหรือการกู้เงินเพื่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เป็นตัวอย่างที่ดี

อีกแง่หนึ่งของปัญหานี้ คือพวกที่ปฏิเสธทฤษฏีและอ้างว่าเป็น ผู้ปฏิบัติเช่นแกนนำ เอ็นจีโอ ที่มองว่าพวกเราเป็นหนอนหนังสือที่ไม่เข้าใจโลกจริงหรือพวกฝ่ายซ้ายไร้เดียงสาที่เคร่งทฤษฏี ทั้งๆ ที่พวกเขาต่างหากไม่เข้าใจโลกจริงเพราะอาศัยทฤษฏีนายทุนไปโดยไม่รู้ตัว พวกเขาไม่ชอบอ่านหนังสือหรือเรียนบทเรียนจากทั่วโลก

ตัวอย่างที่ดีคือพวกที่สนับสนุนการมี องค์กรอิสระโดยเฉพาะในยุคที่ร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ เพราะพวกนี้ไม่สนใจที่จะเข้าใจว่ามันเป็นแนวคิดเสรีนิยมของคนชั้นบน เพื่อลดเสียงประชาธิปไตยของคนธรรมดา

     แนวคิดผิดๆ ของ พคท. เรื่องไทยล้าหลังและเป็นระบบศักดินายังคงตกค้างอยู่ทุกวันนี้ เพราะเสื้อแดงจำนวนมากหลงมองว่า ศักดาอยู่เบื้องหลังการทำลายประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่กลุ่มอำนาจที่ทำลายประชาธิปไตยปรากฏตัวให้เห็นชัดคือทหาร ข้าราชการชั้นสูง นายทุนที่ทะเลาะกับทักษิณ และชนชั้นกลาง ซึ่งรวมถึงพวกนักวิชาการฝ่ายขวาและเอ็นจีโอด้วย

จุดอ่อนของการประนีประนอมกับอำนาจเก่า
การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ประนีประนอมกับอำนาจเก่าตั้งแต่แรก เพราะมีการพยายามทำแนวร่วมกับข้าราชการเก่า และเสนอให้คงไว้ตำแหน่งกษัตริย์ในฐานะประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าฝ่ายสนับสนุนเจ้าพยายามก่อกบฏเพื่อกลับคืนสู่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ตามฝ่ายกบฏที่สนับสนุนเจ้าในที่สุดก็ไม่สำเร็จ และต้องหันไปแสวงหาเป้าหมายอื่นในการคงไว้อำนาจอนุรักษ์นิยมภายใต้ระบบรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการจับมือกับทหารเผด็จการโกงกินอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุคสงครามเย็น

สาเหตุที่ฝ่ายก้าวหน้าในคณะราษฏร์ยอมประนีประนอมกับอำนาจเก่า ก็เพราะฝ่ายก้าวหน้าไม่ยอมหรือไม่กล้าปลุกระดมมวลชนในองค์กรจัดตั้งทางการเมืองเพื่อสร้างประชาธิปไตยและความเท่าเทียม ผลของการประนีประนอมคือ ลักษณะสังคมไทยกลายเป็นระบบกึ่งประชาธิปไตยผสมกับยุคเผด็จการ และที่สำคัญด้วยคือสังคมไทยแช่แข็งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจน
 
เพราะตั้งแต่ปีแรกหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ตอนนั้นนำโดยกษัตริย์รัชกาลที่๗ มีการล้มและปฏิเสธข้อเสนอของ อ.ปรีดี ที่จะสร้างรัฐสวัสดิการ สร้างงาน เก็บภาษีในอัตราสูงจากเศรษฐี และแบ่งที่ดินให้ประชาชนในชนบทใช้อย่างเท่าเทียมกัน ทุกวันนี้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมนี้ยังดำรงอยู่

     ภัยหลักต่อระบบประชาธิปไตยที่ท้าทายเราในปัจจุบัน คือการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทักษิณ และ แกนนำ นปช. ไม่ยอมนำการต่อสู้กับเผด็จการทหาร และสยบยอมหาทางประนีประนอม โดยอ้างว่าไม่มีทางเลือกอื่นแต่เราควรเข้าใจว่าสถานการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่เคยเกิดในการปฏิวัติ ๒๔๗๕ คือพวกที่นำเสื้อแดงรวมถึงพรรคเพื่อไทยไม่ยอมจัดตั้งมวลชนเพื่อเอาชนะฝ่ายเผด็จการอย่างเบ็ดเสร็จ

พฤติกรรมนี้อธิบายได้จาก ทฤษฏีปฏิวัติถาวรของนักมาร์คซิสต์ ซึ่งเคยนำเสนอไปแล้วใน นสพ. เลี้ยวซ้าย ถ้าจะสรุปก็คือ ในอดีต คาร์ล มาร์คซ์ เคยตั้งข้อสังเกตในช่วงที่มีการปฏิวัติลุกฮือปี 1848 ในยุโรปว่า นายทุนกลัวการปลุกระดมและการลุกฮือของประชาชนชั้นล่าง มากว่าที่จะรังเกียจชนชั้นนำเก่าที่เป็นคู่แข่งของนายทุน

เพราะนายทุนกลัวว่ากรรมาชีพจะล้มอำนาจเก่าและล้มนายทุนไปด้วย นายทุนจึงไปจับมือประนีประนอมกับอำนาจเก่า ดังนั้นทั้งคณะราษฏร์ในยุค ๒๔๗๕ และเพื่อไทยหรือแกนนำ นปช. ในปัจจุบัน เกรงกลัวที่จะระดมมวลชนเพื่อต่อสู้และขยายพื้นที่ประชาธิปไตย ด้วยเหตุนี้เราต้องจัดตั้งและปลุกระดมกันเอง อิสระจากพรรคเพื่อไทยและ นปช.

การเข้าใจว่าพลังมวลชนดำรงอยู่ในส่วนไหนของสังคม
หลังยุคป่าแตก นักเคลื่อนไหวจำนวนมากในไทยและที่อื่นหลงเชื่อว่าแนวความคิดสังคมนิยมหรือมาร์คซิสต์หมดยุค เพราะไม่เข้าใจว่าระบบที่ล้มเหลวในรัสเซีย ยุโรปตะวันออก หรือจีน เป็นระบบเผด็จการ สตาลิน-เหมาซึ่งแตกต่างกับแนวคิดของมาร์คซ์ หรือ เลนิน พวกนี้จึงสรุปว่าชนชั้นกรรมาชีพไม่มีพลังในสังคมอีกแล้ว จริงๆ สายคิดเหมาเจ๋อตุงหันหลังให้กับกรรมาชีพในเมืองก่อนหน้านี้อีก เมื่อใช้แนวรบแบบชนบทล้อมเมือง

ผลของการหันหลังให้กับพลังกรรมาชีพคือ ไม่มีนักปฏิบัติการสังคมนิยมที่ลงไปทำงานกับกรรมาชีพในสหภาพแรงงานเหมือนเมื่อก่อน และอดีต พคท. หลายคนสรุปว่าการล้มอำนาจรัฐเก่า เป็นไปไม่ได้นี่คือสาเหตุที่หลายคนหันไปทำงานแบบเอ็นจีโอ

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลพวงของความคิดแบบนี้คือ คนที่เริ่มไม่พอใจกับรัฐบาลทักษิณ ที่เคยเป็นฝ่ายซ้ายหรือนักเคลื่อนไหวทางสังคม มองว่าคนชั้นล่างอ่อนแอ ถูกซื้อง่าย และไม่มีใครที่มีพลังในการเปลี่ยนสังคม มันนำไปสู่การเรียกร้องอะไรๆ จากเบื้องบน เช่นเรื่องนายกมาตรา ๗ และการโบกมือเรียกให้ทหารทำรัฐประหาร

สิ่งที่พวกนั้นไม่เข้าใจคือ คนทำงานธรรมดาที่เราเรียกว่า กรรมาชีพเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทย และเป็นผู้ที่ผลิตมูลค่าทั้งปวงด้วยการทำงาน นี่คือความจริงพื้นฐานที่มาร์คอธิบายไว้นานแล้ว และมันไม่เคยเปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ลักษณะงาน เทคโนโลจี และวิถีชีวิตประจำวันของคนทำงานเปลี่ยนไปตามยุค

ดังนั้นการนัดหยุดงานและการยึดสถานที่ทำงานเป็นอาวุธที่สำคัญกว่าการจับปืนสำหรับฝ่ายเรา ยิ่งกว่านั้นถ้าศึกษาการต่อสู้ทั่วโลก จะเห็นว่าการพัฒนาประชาธิปไตยในเกือบทุกประเทศมาจากการต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะในพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพ


ปัญหาในไทยคือขบวนการแรงงานในซีกที่ก้าวหน้าที่สุดไม่ยอมสร้างพรรคการเมืองแบบที่เน้นการเคลื่อนไหวในระดับรากหญ้ามากกว่าการลงสมัคร สส. และไม่ยอมพัฒนาการศึกษาทางการเมืองแบบสังคมนิยม เพราะเลือกเคลื่อนไหวแบบ ลัทธิสหภาพปฏิวัติโดยมองว่าการมีพรรคไม่สำคัญ มีสหภาพแรงงานก็เพียงพอ....นี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ไข



Giles Ji Ungpakorn