วันพุธ, กรกฎาคม 09, 2557

ตะไล ไตแลนเดีย :บทพึมพำประกอบภาพ



ได้ซึมซับรับรู้กับข่าวการข่มขืนแล้วฆ่าเด็กหญิงวัย ๑๓ ปี บนรถไฟสายใต้จากสุราษฎร์ขาเข้ากรุงเทพฯ ในระยะสองสามวันที่ผ่านมาด้วยอารมณ์ผะอืดผะอม (mixed feeling) ทั้งสลดกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสะอึกกับบางปฏิกิริยา

เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ ที่ผู้คนให้ความสนใจกันอย่างล้นพ้น ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดที่ข่าวเรื่องทหารชุดพราง ๕ นายขี่ฮัมวีไปเยือนแม่ค้าเสื้อแดงขายปลาหมึกทอดในเชียงใหม่เป็นหนสอง แล้วแกะสติ๊กเกอร์พรรคเพื่อไทยทิ้ง หรือแม้แต่ข่าวทีมบราซิลถูกถอนขนเกลี้ยง (ฝรั่งล้อเล่นว่า waxed) ๗ ประตูต่อ ๑ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่คนไทยได้ดูฟรีด้วยความกรุณาของคณะ รปห. ก็ยังไม่โครมครามเท่า



ในสภาพการเมืองที่การยัดความสุขให้ประชาชน กับการเรียกตัวนักประชาธิปไตยไปปรับปรุงทัศนคติ นับเป็นวิเทโสบายควบคู่สองแขนอันสำคัญต่อการเอาชนะให้สิ้นซากหลังจากทำรัฐประหารยึดอำนาจได้หนึ่งเดือนครึ่ง ระหว่างเร่งให้ความเรียบร้อยบังเกิดก่อนจะเดินตามโร้ดแม็พ ๑๕ เดือนไปสู่การเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีใครได้ใช้สิทธิบ้าง (เพราะมีข้อเสนอให้คณะกรรมการเลือกตั้งเป็นผู้มีอำนาจเต็มยิ่งกว่ารัฐบาล ทั้งที่คณะกรรมการชุดนี้แหละครั้งที่ผ่านมาพยายามเหลือเกินไม่ให้มีเลือกตั้ง)

ทันควันกับเมื่อรายละเอียดต่างๆ ในการตายของ น้องแก้มปรากฏออกมาว่านายวันชัย แสงขาว คนร้ายเป็นพนักงานรถไฟ กระทำการข่มขืนเหยื่อในตู้นอนแล้วฆ่าขณะรถวิ่ง จากนั้นนำร่างและผ้าปูเตียงเปื้อนเลือดโยนทิ้งข้างทางบริเวณท้องที่ปราณบุรี ก็เริ่มมีเสียงวิจารณ์แพร่ตามสื่อโซเชียลโดยพวกดารากับดีเจทั้งหลาย เรียกร้องให้คณะทหารผู้ปกครองประเทศจัดการคนร้ายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด บ้างเสนอให้ตัดจู๋ แต่ส่วนใหญ่อยากให้ประหาร

บางส่วนย่อยๆ ประเภทซาดิสต์ก็มี ดังที่ผู้ใช้นาม Airpeemai Sawichain N Tongdung จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี เขียนว่า “ทำไมไม่ร้องให้คนช่วยค่ะ หรือว่ามัวแต่ค(ร)าง (เสียว)”

ซึ่งก็อาจไม่เป็นสิ่งแปลกเกินความคาดหมายของหลายคน ในเมื่อบรรยากาศของการนิยมความรุนแรงได้ถูกส้องสุมเอาไว้จนกรุ่นและกร่ำแล้ว 

ดูตัวอย่างได้จากความเห็นของนายตำรวจคนดังผู้หนึ่งเขียนถึงหญิงสาวเชื้อไทยคนหนึ่ง แม้จะเป็นเนื้อหาต้นเรื่องที่ต่างมิติออกไป แต่อารมณ์แห่งความชิงชังกับอาการห้ำหั่นมันตกร่องปล่องชิ้นเดียวกันเปรี๊ยะ

หากแต่ที่เด่นกว่าใครน่าจะเป็นการประกาศล่าลายเซ็น ๑ แสนรายโดยอดีตนางงามนามว่า บุ๋มน.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ที่อ้างว่าคดีข่มขืนชำเราโทษไม่สาสม ต้องแก้ไขกฏหมายให้ประหารสถานเดียว


แต่ก็มีการโต้แย้งผ่านทางมีเดียออกมาไม่เบา อาทิ
Pravit Rojanaphruk @PravitR  นักหนังสือพิมพ์ชื่อดังโต้ว่า “คนที่สนับสนุน #ข่มขืนต้องประหาร คือคนสนับสนุนการฆ่าคนทั้งๆที่ยังมีสติ

สำหรับผู้ใช้นาม มิตรสหายท่านหนึ่ง  นั้นบอกว่า “สังคมไทยคือสังคมที่ดูข่าวภาคค่ำเห็นข่าวชายอัปลักษณ์ข่มขืนเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มแล้วเลือดเดือดเป็นฟืนเป็นไฟจะประหารให้ได้ แต่พอดูละครหลังข่าวเห็นพระเอกหนุ่มหน้าตาดีข่มขืนนางเอกหน้าสะสวย แล้วก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลงด้วยดีได้โดยไม่ต้องมีใครตาย และฝ่ายถูกข่มขืนจะสมยอมในที่สุด”

เสริมโดย
Incognito @Incognito_me  จากหน้าทวิตเตอร์ที่บอกว่า  ละครไทย นอกจากพระเอกข่มขืนนางเอกแล้ว ยังชอบสร้างค่านิยมว่าการข่มขืนตัวร้ายเป็นการลงโทษหญิงเลวที่ชอบธรรมอีกด้วย อันนี้อันตรายมาก

รวมทั้งความเห็นนักกฏหมายอย่างผู้ใช้นาม เนติบัณฑิตไทยและนักหนังสือพิมพ์อย่างนายอถึกกิจ แสวงสุข(หรือ ใบตองแห้ง) ต่างชี้ว่าความผิดอย่างนี้ก็มีโทษถึงประหารอยู่แล้ว พร้อมทั้งความเห็นในแง่กฏหมายอย่างค่อนข้างละเอียดของ พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล ที่เน้นว่า “การมีโทษประหารชีวิตในระบบกฎหมาย ก็ไม่ได้ทำให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัวไม่กล้ากระทำผิด”

และความเห็นของ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ระบุว่า “การเพิ่มโทษก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ตรงกันข้ามอาจทำให้การข่มขืนแล้วฆ่า โยนศพทิ้งอาจมีเพิ่มขึ้นอีก เพราะข่มขืนแล้วต้องประหาร แบบนี้ข่มขืนเสร็จแล้วฆ่าซ่อนศพด้วยดีกว่า เผื่อจะไม่มีใครจับได้”

แม้นว่าจะมีบางรายเหน็บแนมแกมกระทุ้งกรณีที่ลูกชายนักร้องคนดังเคยต้องคดีร่วมกับเพื่อนรุมโทรมเด็กสาวนักเรียนหญิง เสร็จแล้วด้วยอิทธิพลของพ่อที่สนับสนุนท่านผู้นำอย่างถวายหัว ถึงขนาดแต่งเพลงชื่นชมทันทีที่มีการปฏิวัติขึ้นสมใจ

ท้ายที่สุดบรรดาความเห็นแย้งต่อการกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับคดีข่มขืนจึงไปรวมอยู่ที่การรณรงค์ผ่านทาง Change.org โดย NITIPAN WIPRAWIT  ให้ "เลิกเผยแพร่คติการล่อลวงข่มขืนว่าเป็นสิ่งปกติ" โดยให้เหตุผลว่า

“เราทุกคนต่างสลดใจกับเหตุที่เกิดกับน้องแก้ม ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องคดีข่มขืน ทั้งยังเป็นคดีที่เกิดขึ้นกับเด็ก และรุนแรงถึงขั้นฆาตกรรม....แม้ละครที่เผยแพร่คติผิดๆว่าการข่มขืนเป็นเรื่องปกติ จะไม่ใช่จำเลยหลักของกรณีนี้ แต่เราต่างคิดเชื่อมโยงได้ไม่ยากว่าการที่ละครแบบนี้ยังคงฉายอยู่เป็นปกติ ในวงกว้างก็เท่ากับรูปแบบหนึ่งของการเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของอาชญากร”
 
แน่นอน เรื่องนี้ไปถึงคณะปกครองไม่ชักช้า พ.อ.วิธัย สรวารี โฆษก คสช. ออกมาแถลงว่าท่านผู้นำได้มีบัญชาให้ทหาร-ตำรวจสะสางคดีนี้โดยไว และก่อนปรากฏภาพผู้ต้องหาถูกจับกุมก็ได้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เขาประกอบอาชญากรรมขณะมึนเมาด้วยพิษเบียร์ผสมยาบ้า หลังจากนั้นผู้กระทำผิดสารภาพด้วยว่าเคยข่มขืนหญิงอื่นบนรถไฟมาแล้วสองครั้ง ไม่มีใครกระโตกกระตากเพราะความอาย

คราวนี้เรื่องอาชญากรรมไม่อำพรางเริ่มกระเส็นกระสายกลิ่นอายของการเมืองบ้าง ทั้งอักษรและภาพปรากฏออกมาว่าทำไมยังไม่มีใครโดนปลด นัยว่าผู้บริหารชั้นสูงของ รฟท. เป็นคนของระบอบทักษิณ งานนี้เห็นทีได้จังหวะเหมาะแล้วละ 

อาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งจัดว่าเป็นฝ่ายไม่เอารัฐประหารก็ยังเขียนถึงผู้ว่าการรถไฟไว้ว่า “ผมยืนยันนะครับ นายประภัทร จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟ อย่างน้อยที่สุดต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกครับ! ทำไม คสช. ไม่ปลด แปลกใจมากๆ” 

แต่เจ้าตัวก็แถลงว่าจะไม่ลาออก ขออยู่เพื่อแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น เขาเสนอการรถไฟจัดตู้โดยสารไว้เฉพาะเพศหญิง และล่าสุดก็มีระเบียบการห้ามขายสุรายาเมาบนรถไฟ ออกมาแล้ว



ส่วนเหตุที่ยังไม่มีคำสั่งปลด ก็ได้แต่เดาๆ เอาว่าเพียงแค่กระแสก็แรงพออยู่แล้ว ยังไม่ต้องตามเช็ดล้างระบอบทักษิณถึงขั้นนั้น ดูจากภาพประกอบสุดท้ายนี่ ผู้โพสต์ใช้ชื่อว่า Vote Thailand แต่ดันใช้รูปอวตารตรงข้าม โลโก้บรรจุข้อความ ‘Support NCPO’ เฉยเลย

เขาโยงให้ไปถึงทักษิณจนได้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บ่นว่า “กรรมประเทศไทย VeinตะไลThailandia” ได้อย่างไร